×

ได้โปรดอย่าให้ไฟฝันที่จุดขึ้นต้องสูญเปล่า สิ่งที่อยากเห็นหลังปรากฏการณ์ ‘บอล 7 สี’

08.11.2025
  • LOADING...
ได้โปรดอย่าให้ไฟฝันที่จุดขึ้นต้องสูญเปล่า สิ่งที่อยากเห็นหลังปรากฏการณ์ ‘บอล 7 สี’

ไม่ว่าเกมที่สนามศุภชลาศัยจะจบลงอย่างไรก็ตาม ขอแสดงความยินดีกับทั้งสองทีมด้วย

 

น้องๆ สุดยอดทุกคน!

 

น้องๆจากทั้งโรงเรียนอบจ.ชัยนาท และโรงเรียนหมอนทองวิทยา ได้สร้างปรากฏการณ์ลูกหนังครั้งใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในระดับที่เป็นบทสนทนาของทุกบ้านร้านตลาด โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียที่ไม่ว่าจะไถขึ้นหรือไถลงก็จะเจอเรื่องราวของเด็กๆมากมายเต็มไปหมด

 

ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง Untold story ที่น่าประทับใจ ในความเป็นนักสู้ ความพยายาม และความทุ่มเท ที่แต่ละคนต่างก็มีเรื่องราวของตัวเอง

 

เพียงแต่สิ่งสำคัญและมีคุณค่ามากที่สุดจากการแข่งขัน ‘บอล 7 สี’ ในปีนี้ ไม่ได้อยู่ที่สีหรือแสงที่ตกกระทบลงมาแค่อย่างเดียว

 

แต่มันคือการที่น้องๆ ทำให้คนอีกจำนวนมากที่เคยหลงลืม ‘ความฝัน’ ไปแล้ว ได้กลับมามองเห็นมันอย่างชัดเจนด้วยสองตาและหนึ่งหัวใจ

 

มันคือประกายไฟแห่งยุคสมัยที่เด็กๆ ทุกคนช่วยกันจุดขึ้นมาผ่านหยาดเหงื่อ รอยยิ้ม คราบน้ำตา ความบริสุทธิ์ของพวกเขาเอง

 

และเป็นคำถามที่น่าสนใจสำหรับ ‘ผู้หลักผู้ใหญ่’ ในวงการฟุตบอลไทยว่า จะสานต่อหรือพัฒนาอะไรไหมต่อจากนี้?

 

ปรากฏการณ์บอล 7 สี หรือชื่อเต็มๆ ฟุตบอล 7 สี แชมเปียนคัพ 2025 เป็นปรากฏการณ์ที่น่าศึกษาอย่างมาก

 

เพราะเป็นรายการแข่งขันฟุตบอลที่กลายเป็น Talk of the town พูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างแท้จริง ยิ่งกว่าเรื่องของการประกาศรายชื่อทีมฟุตบอลชุดใหญ่ หรือการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก

 

ส่วนหนึ่งนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากเรื่องราวของม้ามืดอย่างทีมหมอนทองวิทยา โรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่กลายเป็นอีกหนึ่งของดีเมืองแปดริ้ว ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนผ่านการเดินทางสุดมหัศจรรย์ของพวกเขา

 

โดยหัวใจของเรื่องราวอยู่กับอาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ โค้ช – ไม่สิเราควรเรียกว่า ‘ครูลูกหนัง’ – ระดับตำนานของวงการฟุตบอลขาสั้นเมืองไทย ที่เคยพาโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีเข้าชิงรายการนี้ 5 สมัยติด และคว้า 3 แชมป์ในระดับประเทศ รวมถึงการเป็นโค้ชทีมโรงเรียนระดับชั้นนำของไทยอย่างโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว (ที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเคยสอน ‘แบงค์ วงแคลช’ ด้วย)

 

หัวใจความเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ ที่เปลี่ยนทีมฟุตบอลเล็กๆ ที่เกิดจากนักเตะที่ถูกมองข้ามเหมือนดัง ‘เศษแก้ว’ หลอมหัวใจกันใหม่จนกลายเป็นทีมฟุตบอลที่มหัศจรรย์ ยืนหยัดสู้กับทีมเก่งๆ จากทั่วประเทศได้อย่างน่าชื่นชม

 

เรื่องราวแบบนี้ไม่ต้องแปลกใจที่ใครได้ฟังได้ยินจะหลงรัก เพราะมันเหมือนออกมาจาก ‘มังงะ’ สนุกๆ สักเรื่อง ทำให้ทุกคนอยากเอาใจช่วย ทีมหมอนทองวิทยาเลยกลายเป็นทีมขวัญใจมหาชนไปเป็นที่เรียบร้อย

 

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่น้องๆ หมอนทองทีมเดียวที่พยายาม แต่ทุกทีมก็พยายามไม่แตกต่างกัน

 

คู่แข่งในนัดชิงชนะเลิศอย่างทีมโรงเรียน อบจ.ชัยนาท อาจจะเป็นทีม ‘อคาเดมี’ ของสโมสรชัยนาท ยูไนเต็ด ที่ว่าด้วยชื่อและชั้นเหนือกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องๆ จากเมืองนกใหญ่จะไม่ได้ใช้ความพยายาม พวกเขาก็มีสิ่งที่ฝัน มีสิ่งที่ตามหา และมีสิ่งที่อยากได้เหมือนกัน

 

และทีมอื่นๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขันก็เช่นกัน

 

ฟุตบอล 7 สีเลยกลายเป็นก้อนพลังงานของความฝันที่มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่มหึมา และใหญ่เสมอมาด้วย ซึ่งต้องปรบมือดังๆ ให้แก่ผู้จัดที่เล็งเห็นความสำคัญของเยาวชน คิดรูปแบบการแข่งขันที่สนุกตื่นเต้น ไปจนถึงการเอาจริงเอาจังกับคุณภาพของการถ่ายทอดสดการแข่งขัน (ซึ่งก็คงเป็นความฝันของผู้ใหญ่ที่จัดการแข่งขันเหมือนกัน)

 

เราเห็นแล้วว่าบอลเด็กไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องใหญ่ในระดับประเทศไทย ฟุตบอลเด็กก็มีแสงที่ส่องถึงได้และสว่างจ้ามากด้วย และมี ‘สตอรี’ ดีๆ ที่แบรนด์สามารถนำมาต่อยอดได้อีกมากในการทำ Sport marketing

 

นี่คือสิ่งที่เรียนรู้จากปรากฏการณ์บอล 7 สีในปีนี้

 

และมันชวนให้คิดถึงวันข้างหน้า

 

เราจะต่อยอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ไหม และได้อย่างไร?

 

ผมกำลังแอบคิดว่า เราจะมี ‘อินเตอร์ไฮ’ ในแบบไทยๆ กับเขาบ้างได้ไหม?

 

เชื่อว่าคุณผู้อ่านจำนวนไม่น้อยน่าจะติดตามหรือเคยได้ยินเรื่องราวการแข่งขันฟุตบอลในระดับมัธยมศึกษาที่เรียกกันว่า ‘อินเตอร์ไฮ’ กันมาอยู่บ้าง

 

สำหรับคนที่อาจจะไม่เคยได้ยิน ฟุตบอลอินเตอร์ไฮคือการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์มัธยมปลายแห่งชาติของญี่ปุ่น

อ่านแบบละเอียดได้ที่ ‘冬の国立 Fuyu no Kokuritsu ฤดูหนาวนั้นฉันฝันถึงเกมฟุตบอล (และเธอ)’

 

สรุปแบบง่ายๆ ไวๆ นี่คือการแข่งขันฟุตบอลระดับเยาวชนของนักเรียนญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยการแข่งขันที่สนุก เข้มข้น ร้อนแรง เต็มไปด้วยแรงใจและไฟฝัน

 

ที่สำคัญมีผู้ชมที่เข้ามาเชียร์กันเต็มความจุของสนามเสมอ เพราะคนดูก็อยากดู (และคนเล่นเห็นคนดูเยอะๆ ก็อยากเล่นเหมือนกัน) เป็นงานเทศกาล (Festival) ที่ทุกคนเฝ้ารอ ซึ่งมองแล้วก็รู้สึกไม่ต่างจากสิ่งที่ได้เห็นจากบอล 7 สี และมันก็น่าคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่วงการฟุตบอลไทยจะหันกลับมาให้ความสำคัญกับฟุตบอลนักเรียนมากกว่านี้

 

จริงอยู่ที่ในปัจจุบันวงการลูกหนังขาสั้นของไทยก็มาไกลจากอดีต หลายโรงเรียนก็คืออะคาเดมี่ของสโมสรฟุตบอล นักเตะในทีมได้รับทุนการศึกษาและการดูแลอย่างดี

 

แต่สิ่งที่มันขาดหายไปคือเราไม่มีเวทีที่สนุกคึกคักแบบอินเตอร์ไฮหรือบอล 7 สีมากพอ และพอจะพูดได้ว่าฟุตบอลที่ภาครัฐจัดมันไม่สามารถสร้าง Vibe ในแบบเดียวกันหรือระดับเดียวกันได้

 

ในญี่ปุ่นนั้นฟุตบอลขาสั้นเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นอีกหนึ่ง ‘เส้นทาง’ (Academic path) สำหรับนักฟุตบอลให้เลือกเดิน ซึ่งจะแยกและแตกต่างจากสายระบบอคาเดมีแบบมืออาชีพ

 

ฟุตบอลสายนี้อาจจะดูเป็น ‘มือสมัครเล่น’ (Amateur) ก็จริง แต่ก็มีจุดแข็งในแบบของตัวเอง ในความเป็น ‘ชมรม’ ที่มีความผูกพันแน่นหนา และเชื่อมโยงกับโรงเรียนจนถึงชุมชน ที่สำคัญคือถึงจะเรียนไปเล่นไป แต่ก็สามารถพัฒนาศักยภาพของนักฟุตบอลจนสามารถสู้กับทีมระดับอาชีพได้

 

โดยที่ในญี่ปุ่นฟุตบอลโรงเรียนนั้นไม่ได้จบแค่โรงเรียน แต่ต่อยอดถึงในระดับมหาวิทยาลัย เรียกว่ามีที่ทางให้เดินทางไปต่อ

 

นักฟุตบอลระดับสตาร์หลายคนของทีมชาติญี่ปุ่นในปัจจุบันก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คาโอรุ มิโตมะ ปีกเทวดาที่เลือกเส้นทางนี้ ถึงขั้นทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการเลี้ยงบอลเป็นตัวจบการศึกษา

 

นั่นแปลว่าถ้าเราคิดให้ดี วางแผนกันให้ดี มองแบบคนมีวิสัยทัศน์ ฟุตบอลเด็กมีคุณค่าและความหมายมากกว่าที่คิด

 

โดยที่หากสังเกตได้การแข่งขันของน้องๆ เหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดจะมีคนเข้ามาชม มาเชียร์ มาเอาใจช่วยเสมอ เพราะพวกเขาเหล่านี้มีความ ‘เชื่อมโยง’ กับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเดียวกัน พ่อแม่ผู้ปกครอง ญาติสนิทมิตรสหาย ไปจนถึงคนในชุมชน (Community)

 

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่วงการฟุตบอลอาชีพในไทยยังไม่แข็งแรงเท่าเลยด้วยซ้ำ

 

เส้นทางลูกหนังสายการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และชวนคิดถึงการต่อยอดจากปรากฏการณ์บอล 7 สีที่เกิดขึ้น ซึ่งบางทีเราอาจจะพบคำตอบใหม่ของเกมฟุตบอลไทยก็เป็นไปได้

 

จะทำอย่างไรให้ฟุตบอลเด็กไม่ว่าจะรายการเดิมที่มี หรือรายการใหม่ได้รับความสนใจและความสำคัญในระยะยาว ไม่ถูกลบเลือนหายไป เหมือนครั้งหนึ่งที่เราเคยมีฟุตบอลเด็กดีๆ อย่างรายการโค้กคัพ

 

ไม่อยากให้เป็นเพียงแค่ประกายไฟของความฝันที่ถูกจุดขึ้นแล้วดับลง เพื่อรอวันจะจุดใหม่ในปีหน้าไปเรื่อยๆ

 

และไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายให้ความสนใจกันแค่เพียงชั่วเวลาหนึ่ง และเลือกวิธีสนับสนุนด้วยการอัดฉีดเงินแล้วจบ มันง่ายไป

 

เห็นน้องๆ พยายามแล้ว บางที ‘ผู้ใหญ่’ เองก็ควรจะพยายามสานต่อด้วยความรักและทุ่มเทที่มากเท่ากัน

 

ไฟฝันมันจะได้ลุกโชนต่อไป

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising