Foot Locker เชนร้านค้าปลีกที่มีชื่อเสียงซึ่งเชี่ยวชาญด้านรองเท้ากีฬาและเครื่องแต่งกาย ได้ออกมาเปิดเผยผลประกอบการที่สิ้นสุดวันที่ 29 เมษายน 2023 ซึ่งเป็นผลงานที่น่าผิดหวัง
บริษัทได้รายงานว่ายอดขายในสาขาเดิมได้ลดลง 9.1% ซึ่งนี่เป็นการลดลงที่ใหญ่กว่าที่นักวิเคราะห์ของวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ ซึ่งคาดว่าจะลดลง 7.4%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เสริมเกมตลาดให้เข้มข้น และเพิ่มจำนวนสินค้าที่เข้ามาขาย โจทย์ท้าทายของ New Balance ในไทย ที่รอ ‘ดิสทริบิวเตอร์รายใหม่’ เข้ามาแก้สมการ
- ‘Dad Shoes’ อย่าง New Balance กลายเป็นรองเท้าสุดฮิตของคนทุกเจนได้อย่างไร? (และความลับในรหัสตัวเลขรุ่น)
- Nike ทำได้ไหม? รักษา ‘ความคูล’ บาลานซ์อิทธิพลแบรนด์ บนโลก New Normal ที่ไม่เหมือนเดิม
ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 36 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน นี่เป็นเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของที่นักวิเคราะห์ทางการเงินคาดการณ์ไว้ กำไรที่ต่ำนี้ยิ่งทำให้นักลงทุนกังวลและมีส่วนทำให้ราคาหุ้นของบริษัทร่วงลง
Foot Locker คาดว่าจะเป็นปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ถึงกระนั้น ยอดขายและกำไรสุทธิที่ลดลงทำให้พวกเขาต้องทบทวนการคาดการณ์ทางการเงินสำหรับปีนี้ โดยคาดการณ์ว่า ยอดขายจะลดลง 6.5-8% ด้วยกัน
ผลประกอบการดังกล่าวมีขึ้น 2 เดือนหลังจากที่ แมรี ดิลลอน ซีอีโอคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง พร้อมเผยกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงบริษัทและเพิ่มประสิทธิภาพแผนนี้เกี่ยวข้องกับการปิดร้านค้าที่มีประสิทธิภาพต่ำและลดการพึ่งพา Nike ที่ได้มุ่งเน้นการขายตรงให้กับลูกค้ามากกว่า
แม้จะมีภาพมืดมนจากผลประกอบการ แต่ก็ยังมีข่าวเชิงบวกอยู่บ้าง โดย Foot Locker มีความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายหลักบางประการ เช่น พวกเขาปิดร้านค้าที่ไม่ทำกำไร 35 แห่ง ในขณะที่เปิดหรือแปลงร้านค้าอื่นๆ ในกระบวนการที่เรียกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพอสังหาริมทรัพย์อีก 11 แห่งทั่วโลก
พวกเขายังให้ความสำคัญกับร้านค้าที่ตั้งอยู่นอกห้างสรรพสินค้า ซึ่งตอนนี้คิดเป็น 35% ของพื้นที่ค้าปลีกทั้งหมดในอเมริกาเหนือ เพิ่มขึ้นจาก 31% ในปีที่แล้ว
ในแง่ของผลิตภัณฑ์ได้มีการเพิ่มความหลากหลายและพึ่งพา Nike น้อยลง เช่น แบรนด์ที่ไม่ใช่ของ Nike คิดเป็นประมาณ 35% ของยอดขายของ Foot Locker ในไตรมาสที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 33% ในปีที่แล้ว นี่เป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายระยะยาวของบริษัทในการสร้างยอดขาย 40% จากแบรนด์ที่ไม่ใช่ Nike ภายในปี 2026
หนึ่งในแบรนด์ที่ไม่ใช่ Nike คือ New Balance มียอดขายเกือบ 2 เท่าในไตรมาสที่แล้ว และยังมีการเติบโตในเชิงบวกด้วย ในแบรนด์รองเท้าอื่นๆ เช่น On และ Hoka ก็มียอดขายที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พัฒนาการเชิงบวกเหล่านี้ถูกบดบังด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้บริโภคเป้าหมายของ Foot Locker ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นผู้มีรายได้น้อยจะไม่ใช้จ่ายมากนัก ด้วยสภาพเศรษฐกิจเหล่านี้ซึ่งรวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องคิดมากขึ้นหากต้องการใช้จ่ายกับสินค้าที่ไม่จำเป็น
ด้วยเหตุนี้ Foot Locker จึงคาดว่าจะใช้เวลานานกว่าที่วางแผนไว้เดิมในการบรรลุเป้าหมายรายรับต่อปีที่ 9.5 พันล้านดอลลาร์ และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน 8.5-9% ภายในปี 2026
ด้วยความเข้าใจว่าเส้นทางสู่การฟื้นฟูอาจยาวไกลและยากลำบาก Foot Locker ยังคงหวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาทำจะนำไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพและความสำเร็จทางการเงินในที่สุด
อ้างอิง:
