การที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และการศึกษาล่าสุดของ Statista คาดการณ์ว่าบริการจัดส่งอาหารออนไลน์ของแดนอาทิตย์อุทัยจะเติบโตขึ้น 23.6% ในปี 2020 ซึ่งมากกว่าปี 2019 ที่เติบโต 14.4% เท่านั้น
แม้จะเติบโตได้สูงแต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือขับเคลื่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ Delivery Hero ซึ่งดำเนินธุรกิจการจัดส่งอาหารออนไลน์ใน 300 เมือง 11 ตลาด ได้แก่ สิงคโปร์, ฮ่องกง, ไทย, มาเลเซีย, ปากีสถาน, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, บังกลาเทศ, ลาว, กัมพูชา และเมียนมา ภายใต้ชื่อ Foodpanda ตัดสินใจบุก ‘ญี่ปุ่น’ เป็นตลาดที่ 12 ในเอเชียแปซิฟิก
“การเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเสริมสร้างสถานะของเราในเอเชีย หลังจากการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จในกัมพูชา ลาว และเมียนมาเมื่อปลายปี 2019 ที่สำคัญตลาดญี่ปุ่นมีศักยภาพมากมายสำหรับการเติบโตในอนาคต” Niklas Östberg ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Delivery Hero กล่าว
Foodpanda มั่นใจในความสามารถในการครองตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาด จึงวางแผนที่จะลงทุน 20 ล้านยูโร หรือราว 730 ล้านบาทสำหรับการบุกญี่ปุ่น เบื้องต้นมีเปิดให้บริการใน 6 เมืองได้แก่ โกเบ, โยโกฮาม่า, นาโกยา, ซัปโปโร, ฟุกุโอกะ และฮิโรชิมา
ในขณะที่โตเกียวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวครั้งแรก แต่อยู่ในแผนที่จะขยายต่อไปซึ่งจะครบ 10 เมืองในที่สุด นอกเหนือจากเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแล้วยังมีการกำหนดเมืองท่องเที่ยวขนาดกลางด้วย
เพื่อให้ท้าชนกับผู้ที่อยู่ในตลาดมาก่อนอย่าง Uber Eats และ Demae-can ทาง Foodpanda จะให้ความสำคัญกับระยะเวลาจัดส่งที่สั้นลง โดยจะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางการจัดส่ง เป้าหมายคือการส่งมอบภายใน 25 นาที
ขณะเดียวกันเพื่อเพิ่มการเติบโตในเอเชีย Foodpanda ได้สร้างศูนย์กลางเทคโนโลยีในสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งแห่งที่ 2 ต่อจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ โดยแนวโน้มการอยู่บ้านทำให้ยอดขาย Delivery Hero เพิ่มขึ้นสองเท่าในไตรมาสเดือนเมษายน-มิถุนายน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเอเชียเป็นส่วนที่ขับเคลื่อนสำคัญเพราะมียอดขายเติบโตมากกว่าสามเท่า
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
