THE STANDARD เดินทางมาที่นครมุมไบ ประเทศอินเดีย เพื่อติดตามการเจรจาการค้า และสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทยและอินเดีย โดยมี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะเซลแมนประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลไทยในการเจรจาเพื่อสร้างโอกาสให้กับตลาดการค้าของไทย
ผู้บริหารห้างสรรพสินค้า Food Hall เล่าให้ THE STANDARD ฟังว่า เครือข่ายธุรกิจอาหารของเขามีจำนวนกว่า 2,000 สาขากระจายอยู่ทั่วอินเดีย มีสมาชิก 600 ล้านกว่าคน ถือว่าเป็นร้านขายอาหารที่มีศักยภาพและเติบโตมากแห่งหนึ่งในอินเดีย ยิ่งโดยเฉพาะนครมุมไบ ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงเศรษฐกิจของอินเดียนั้นมียอดขายที่เติบโต กลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสินค้า
สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นสินค้าอาหารที่ได้รับความนิยม และได้รับความไว้วางใจเรื่องคุณภาพมาก ทำให้ราคาของผลไม้ ผักสด และอื่นๆ ที่นำเข้าจากไทยมีราคาแพง แต่ก็ยังเป็นสินค้าขายดีมาก เช่น มังคุด ลำไย และมะพร้าวน้ำหอม เป็นต้น
ไฮไลต์สำคัญในการเพิ่มมูลค่าสินค้าของ Food Hall คือ การนำระบบปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์มาไว้ในห้าง โดยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผักแต่ละต้นจากการปลูกจริงด้วยระบบดังกล่าว ราคาผักต้นหนึ่งเทียบเป็นเงินบาทไทยจึงสูงถึงต้นละ 125 บาท
รองนายกรัฐมนตรี ได้พาคณะเดินสำรวจตลาด เพื่อดูผลิตภัณฑ์จากไทย ซึ่งพบว่าหลายรายการมีราคาและคุณภาพที่ได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่ง มังคุด กิโลกรัมละ 1,000 กว่าบาท เช่นเดียวกับลำไย ขณะที่มะพร้าวน้ำหอมจากดำเนินสะดวก เมื่อส่งมาขายที่นี่ มีมูลค่าตกลูกละ 550 รูปี หรือประมาณ 250 บาทไทย
พร้อมๆ กับการใช้คำในการเรียกผลิตภัณฑ์ว่า ‘มะพร้าว’ แทนการใช้ภาษาอังกฤษที่เรียกว่า ‘โคโคนัท’ ทำให้เห็นว่าที่อินเดียหากเอ่ยชื่อ ‘มะพร้าว’ นั่นหมายถึงโคโคนัทที่มีคุณภาพเฉพาะ ซึ่งส่งตรงจากประเทศไทยเท่านั้น
สำหรับสินค้าไทย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ห้าง Food Hall ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบ ผัก ผลไม้ เครื่องเทศต่างๆ ที่นำมาวางจำหน่าย นอกจากป้ายราคาแล้ว ยังมีการติดป้ายที่แสดงรายละเอียดว่าวัตถุดิบเหล่านั้นนำเข้าจากประเทศใด โดยเฉพาะสินค้าจากไทย จะมีการบอกรายละเอียดอย่างชัดเจน
ผู้ประกอบการไทยที่มุมไบ บอกกับ THE STANDARD ว่า ตลาดการค้าอินเดียนั้น ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพราะมีจีนเป็นคู่แข่งสำคัญ อินเดียมีมาตรฐานของการตรวจตรา ทางผู้ประกอบการก็พยายามให้มีการตรวจตราที่ผ่อนปรนบางกฎเกณฑ์ เนื่องจากได้ผ่านมาตรฐานที่เข้มงวดจากฝั่งไทยมาแล้วชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องราคานั่นคือคุณภาพของสินค้าไทย ที่ผู้ประกอบการค้องคำนึงถึงมากที่สุดเช่นกัน