ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative) แต่คงอันดับเครดิตเรตติ้งไว้ที่ BBB+
เปิดสาเหตุ Fitch Ratings หั่นมุมมองเครดิตเรตติ้งไทยเป็น ‘เชิงลบ’
วันนี้ (24 กันยายน) ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักที่นำมาสู่การตัดสินใจครั้งนี้ ได้แก่ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มการคลังสาธารณะของประเทศไทย อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ (prolonged political uncertainty ) ประกอบกับปัจจัยต้าน (headwinds) ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth) จากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ล่าช้า และกระบวนการลดภาระหนี้ครัวเรือน (Household Deleveraging)
ฟิทช์ อธิบายอีกว่า กันชนทางการคลัง (fiscal buffers) ของไทยได้ลดน้อยลง โดยหนี้สาธารณะรวมของรัฐบาล (gross general government debt) แตะระดับ 59.4% ของ GDP ในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งใกล้เคียงกับค่ามัธยฐานของกลุ่มอันดับเครดิต ‘BBB’ ที่ 59.6% และเพิ่มขึ้นถึง 25% จากระดับก่อนโควิด-19
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ต่อเนื่อง การเลื่อนการปรับสมดุลทางการคลังตามแผนออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ทางการคลัง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อแนวโน้มการคลังระยะกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับปานกลางและแรงกดดันด้านประชากรศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น” ฟิทช์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ยังคง คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ระดับ ‘BBB+’ เนื่องมาจากภาคการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง กรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง และความสามารถในการจัดหาเงินทุนสำหรับหนี้ภาครัฐที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินท้องถิ่นและไทยยังสามารถจัดหาเงินทุนได้ด้วยต้นทุนต่ำ
ฟิทช์ ประมาณการว่า ต้นทุนดอกเบี้ยต่อรายได้อยู่ที่ 5.7% ซึ่งต่ำกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่มประเทศในระดับเดียวกันที่ 9.2% จุดแข็งเหล่านี้ถูกถ่วงดุลด้วยความท้าทายทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังคงสูง และรายได้ต่อหัวและคะแนนธรรมาภิบาลที่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศในอันดับเครดิต ‘BBB’
ฟิทช์ คาดว่าการเติบโตของ GDP ไทยจะชะลอตัวลงเหลือ 2.2% ในปี 2568 และ 1.9% ในปี 2569 (ค่ามัธยฐานของกลุ่ม ‘BBB’ อยู่ที่ 2.7%) เนื่องจากอุปสงค์ทั้งในประเทศและทั่วโลกอ่อนตัวลง ประกอบกับการเร่งส่งออกล่วงหน้าจากผลของภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ได้สิ้นสุดลง จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ อยู่ที่ 21.9 ล้านคนในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ซึ่งต่ำกว่าสถิติสูงสุดตลอดทั้งปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดลงอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยวชาวจีนทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอัตราการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว อุปสงค์ต่อสินค้าส่งออกของไทยจะชะลอตัวลงตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ผ่อนคลายลงและภาษี 19% ที่สหรัฐฯ กำหนด แต่กระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่สม่ำเสมออาจช่วยสนับสนุนการเติบโตได้
Fitch จับตาไทยมีแนวโน้มจัดการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆ นี้ ห่วงความไม่ต่อเนื่องด้านการคลัง
ฟิทช์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดใหม่ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ได้ตกลงกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นฝ่ายค้านว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 4 เดือนเพื่อแลกกับการสนับสนุน สิ่งนี้อาจนำไปสู่แรงกดดันด้านการใช้จ่ายในระยะสั้นและเพิ่มความไม่แน่นอนทางนโยบาย
โดยฟิทช์ ยังกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงผู้นำและการเลือกตั้งหมายถึงความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องต่อการปรับสมดุลทางการคลัง หลังปีงบประมาณ 2569 โดยในแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework) ในเดือนธันวาคม จะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การปรับสมดุลทางการคลังของรัฐบาลหลังปีงบประมาณ 2569 แต่ความคลุมเครือจะยังคงอยู่จนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง สำหรับตอนนี้ ฟิทช์ คาดว่าหนี้ภาครัฐจะมีเสถียรภาพที่ระดับต่ำกว่า 65% ของ GDP เล็กน้อยตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป โดยสมมติว่าจะมีการลดการขาดดุลที่เร็วขึ้นหลังปีงบประมาณ 2569 แต่ยังคงมีความเสี่ยงด้านต่ำอย่างมากต่อประมาณการของเรา
การเคลื่อนไหวของฟิทช์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 29 เมษายน มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ประกาศหั่นแนวโน้ม (outlook) อันดับความน่าเชื่อประเทศไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (negative) จาก ‘มีเสถียรภาพ’ (stable) แต่คงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับ Baa1
ขณะที่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา S&P Global Ratings (S&P) คงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ BBB+และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
อ้างอิง: