×

ห่วงซ้ำรอย! ถอดประวัติศาสตร์ ไทยเคยถูกจัดอันดับเครดิตเรตติ้งเป็น Junk นักเศรษฐศาสตร์เตือน ไทยมีโอกาสถูกดาวน์เกรด

25.09.2025
  • LOADING...
fitch-ratings-thailand-downgrade

ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative) แต่คงอันดับเครดิตเรตติ้งไว้ที่ BBB+ โดยให้เหตุผลมาจากความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ประกอบกับปัจจัยต้านด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ล่าช้า และกระบวนการลดภาระหนี้ครัวเรือน

 

ภายใต้การตัดสินใจนี้ ฟิทช์ คาดว่า GDP ของไทย จะมีการเติบโตอยู่ที่ 2.2% ในปี 2025 และมีการเติบโตชะลอตัวลงอยู่ที่ 1.9% ในปี 2026 

 

การเคลื่อนไหวของฟิทช์เกิดขึ้นหลังจากเมื่อเมษายนที่ผ่านมา มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ประกาศหั่นแนวโน้ม (Outlook) อันดับความน่าเชื่อประเทศไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (negative) จาก ‘มีเสถียรภาพ’ (stable) แต่คงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับ Baa1 

 

ภายใต้การตัดสินใจนี้ มูดี้ส์ ปรับลดประมาณการ GDP ของไทยลงในปี 2025 โดยคาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 2.0% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.9%

 

ขณะที่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา S&P Global Ratings (S&P) คงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ BBB+และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

 

ภายใต้การตัดสินใจนี้ S&P คาดว่า GDP ของไทย จะมีการเติบโตอยู่ที่ 2.3% ในปี 2025 และมีการเติบโตอยู่ที่ 2.6% ในปี 2026

 

ด้านนักเศรษฐศาสตร์หลายคน รวมถึง ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เตือนว่า ไทยอาจเห็นการปรับลดมุมมอง หรืออันดับเครดิตเรตติ้งต่อในอนาคต หากข้อกังวลต่างๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 


 

สัญญาณเตือน (อีกครั้ง) เรื่องความเสี่ยงการคลังของไทย

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) โพสต์บน Facebook ส่วนตัวว่า การที่ Fitch ratings ปรับลด Outlook เครดิตเรทติ้งของไทยจาก Stable เป็น Negative เป็นส่งสัญญาณว่า ไทยมีโอกาสถูก Downgrade มากกว่า Upgrade ในอนาคต พร้อมคาดว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายอื่นจะมีความเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกัน

 

“จริงๆแล้วข่าวนี้ ไม่น่าสร้างความประหลาดใจมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ Moody’s ก็เพิ่งปรับมุมมองของไทยเป็น ‘ลบ’ ไปแล้วก่อนหน้านี้ และคาดได้ว่าเดี๋ยว S&P ก็จะตามมาในเร็วๆนี้” ดร.พิพัฒน์ กล่าว

 

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนภาพความเสี่ยงทางการคลังที่ก่อตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดย Fitch พูดเหมือน Moody’s ว่าความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจระยะยาว การ ‘เลื่อน’ การลดหนี้สาธารณะ ที่บอกว่า จะเอาการขาดดุลลดลงเหลือให้ต่ำกว่า 3% ของ GDP ‘แต่ก็ไม่เคยทำได้เลย เลื่อนไปเรื่อยๆ’

 

เปิดประวัติเครดิตเรตติ้งไทย

 

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า “หากมองย้อนกลับไป เส้นทางเครดิตเรทติ้งของไทยเต็มไปด้วยบทเรียนสำคัญ ก่อนวิกฤตปี 2540 ไทยเคยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่น่าเชื่อถือสูง ระดับ A

 

แต่เมื่อเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทต้องลอยตัว เศรษฐกิจทรุดหนัก เรทติ้งไทยก็ร่วงลงไปถึงขั้น ‘Junk’ หลังจากนั้นช่วงต้นทศวรรษ 2000 เราจึงค่อย ๆ ฟื้นกลับเข้าสู่ Investment Grade ที่ระดับ BBB+/Baa1 

แต่กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา เราก็ยังคงติดอยู่ในระดับนี้ ไม่สามารถขยับขึ้นไปสูงกว่านี้ได้ (ปี 2019 เรายังลุ้นอยู่เลยว่าจะได้ Upgrade ไหม) 

 

ขณะที่เพื่อนบ้านบางประเทศอย่างอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์กลับเริ่มไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ

สิ่งที่ Downgrade ครั้งนี้สะท้อนชัดเจน คือ พื้นที่การคลังของไทยกำลังแคบลงเรื่อย ๆ รัฐบาลมีหนี้เพิ่มขึ้นมาก การกู้ยืมในอนาคตจะแพงขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้การคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะถูกจำกัดด้วยต้นทุนการกู้ที่สูงขึ้นและความเชื่อมั่นที่ลดลง”

 

ส่องเกณฑ์พิจารณาเครดิตเรตติ้ง

 

ดร.พิพัฒน์กล่าวต่อว่า ต้องเข้าใจก่อนว่า Credit Rating Agency ไม่ได้มีเกณฑ์ตายตัวว่าประเทศจะต้องมีหนี้สาธารณะไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของ GDP สังเกตว่าระดับหนี้สาธารณะของไทยก็ไม่ต่างกับประเทศที่มี Rating ใกล้เคียงกัน

 

แต่สิ่งที่เขาดูจริง ๆ คือ เส้นทางความยั่งยืนของหนี้ (Debt to Gdp Path) ว่ายั่งยืน (Sustainable) หรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักเพียง 4 อย่าง ได้แก่

  1. ระดับหนี้ที่มีอยู่ 
  2. ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย 
  3. ขาดดุลการคลัง 
  4. การเติบโตของ GDP 

 

“ถ้าหนี้สูง ดอกเบี้ยแพง ขาดดุลเยอะ และเศรษฐกิจโตต่ำ เส้นทางหนี้จะ ‘ระเบิด’ ได้ในที่สุด” ดร.พิพัฒน์กล่าว

 

ทางออกจึงอาจจะไม่ใช่การอัดฉีดแบบเดิมๆ

 

ดร.พิพัฒน์กล่าวต่อว่า กรณีของไทยอาจจะโชคดีที่ดอกเบี้ยโดยรวมยังต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ และเพราะมีหนี้ต่างประเทศน้อยมาก การปรับลด Outlook อาจจะไม่ได้ทำให้ดอกเบี้ยเราขึ้นเยอะมาก

แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ แนวโน้มของ Nominal GDP เรากำลังโตต่ำลงเรื่อย ๆ 

และนี่คือสิ่งที่ทั้ง Fitch และ Moody’s ชี้ชัดว่า ปัญหาการเมืองบวกกับความท้าทายเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย กำลังทำให้ความเสี่ยงด้านการคลังสูงขึ้น หากไม่มีแผนการลดหนี้และสร้างความยั่งยืนทางการคลัง (Fiscal Consolidation) อย่างจริงจัง

 

“ดังนั้น ทางออกจึงอาจจะไม่ใช่การอัดฉีดแบบเดิม ๆ แต่รัฐบาลจำเป็นต้องมีแผนฟื้นฟูความน่าเชื่อถือการคลัง ในขณะที่เพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว”

 

“การใช้หนี้สาธารณะเพื่อกลบปัญหาโดยไม่ปฏิรูป ไม่ได้ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า หากเศรษฐกิจโตช้ากว่าดอกเบี้ย หนี้จะยิ่งเป็นภาระถาวร การคลังที่ดีจึงไม่ใช่แค่กันวิกฤต แต่ต้องสร้างอนาคต และ Downgrade ครั้งนี้ก็คือสัญญาณเตือนดัง ๆ ให้เราเริ่มจริงจังกับเรื่องนี้เสียที” ดร.พิพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

 

ภาพ: Sadik Demiroz/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising