Fitch Ratings บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ออกโรงเตือนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24 พฤษภาคม) ว่า ทาง Fitch อาจจำเป็นต้องปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จากระดับสูงสุด AAA เหตุการเจรจาเพื่อหาทางขยายเพดานหนี้ยังคงไร้ความชัดเจน ทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรก
รายงานระบุว่า ความเสี่ยงดังกล่าวซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในสภาคองเกรส กำลังคุกคามอันดับเครดิตที่สมบูรณ์แบบของสหรัฐฯ
โดยขณะนี้ทาง Fitch Ratings 1 ใน 3 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำร่วมกับ Moody’s และ S&P ยังคงจัดอันดับให้สหรัฐฯ อยู่ในระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด แต่ปรับลดมุมมองโดยให้เป็นมุมมองทางลบที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด (Rating Watch Negative) สะท้อนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการถกเรื่องเพดานหนี้ในปัจจุบัน รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณว่าอาจปรับลดอันดับหนี้ของสหรัฐฯ หากฝ่ายนิติบัญญัติไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่เพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตกำลังเจรจากันเพื่อขอเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อตกลงใดๆ โดยก่อนหน้านี้ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ เคยออกโรงเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่สามารถชำระค่าใช้จ่ายได้ทันในวันที่ 1 มิถุนายน ประเทศนี้ก็จะเผชิญกับความเป็นไปได้ของการผิดนัดชำระหนี้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐฯ และนานาประเทศทั่วโลก
แถลงการณ์ของ Fitch ระบุอย่างชัดเจนว่า Rating Watch Negative สะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจเพื่อขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ แม้ว่ากำหนดเส้นตายกำลังจะใกล้เข้ามาแล้วก็ตาม กระนั้น Fitch ระบุว่า ลึกๆ แล้วยังเชื่อมั่นว่าบรรดาสมาชิกพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันกำหนดเส้นตายแน่นอน
ก่อนหน้านี้ในปี 2011 ทาง S&P บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้ปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก จากระดับสูงสุดลงมาอยู่ที่ AA+ ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน S&P ก็ยังไม่มีการปรับอันดับเครดิตขึ้นแต่อย่างใด
ด้านผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ อาจส่งคลื่นกระแทกไปยังเศรษฐกิจของทั้งโลก และอาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ รวมถึงหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นสำหรับรัฐบาลและชาวอเมริกันเอง และฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก
อ้างอิง: