วันนี้ (25 มกราคม) ช่างภาพข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ตามที่รัฐบาลออกมาตรการให้ใช้ฟรีเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยเริ่มวันแรกคือวันนี้ – 31 มกราคม 2568 เพื่อหวังลดปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลที่จะสร้างมลพิษเพิ่ม ในช่วงที่สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในกรุงเทพมหานครมีค่าสูงจนเข้าเกณฑ์มีผลกระทบต่อสุขภาพ
โดยวานนี้ (24 มกราคม) กระทรวงคมนาคมมีคำสั่งให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในสังกัดของกระทรวงคมนาคม ให้บริการฟรีทุกเส้นทางทั้งรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ประสานเอกชนให้บริการฟรีทุกสายเช่นกัน รวมไปถึงองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ให้ประชาชนใช้บริการรถเมล์ฟรีทุกสายทาง
จากการสำรวจพบว่า ด้วยวันนี้ที่เป็นวันเสาร์ ประชาชนส่วนมากหยุดงาน จึงยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของจำนวนคนที่ออกมาใช้บริการรถไฟฟ้าและรถเมล์ แต่หากเปรียบเทียบวันหยุดในสัปดาห์ก่อนหน้าที่จะมีมาตรการนี้ ถือว่าประชาชนออกมาใช้บริการในวันนี้มากขึ้น ที่สำคัญคือส่วนมากสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่นละออง ซึ่งมีทั้งแบบผ้า ทางการแพทย์ และ N95
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับกลุ่มคนทำงาน มองว่าข้อดีของมาตรการนี้ที่เห็นผลชัดเจน คือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางในช่วงสิ้นเดือน ส่วนจะลดฝุ่นจากรถยนต์บนท้องถนนได้หรือไม่ คาดว่าต้องดู 1-2 วันหลังจากนี้ แต่ต้องการให้รัฐบาลเข้มงวดกับรถเมล์ควันดำที่วิ่งบนท้องถนน
ขณะที่ รศ. ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ระบุว่า
“เอาเงิน 140 ล้านบาทขึ้นรถเมล์-รถไฟฟ้าฟรี ไปซื้อเครื่องฟอกอากาศแจกตามโรงเรียนดีกว่าครับ ได้เป็นหมื่นเครื่องเลย”
ก่อนที่จะโพสต์ขยายความว่า “อธิบายนิดหนึ่งนะครับ คือผมไม่คิดว่ามาตรการเรื่องให้ค่ารถเมล์ฟรี รถไฟฟ้าฟรี จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นได้ เพราะบางคนอาจจะคิดว่าให้ค่าโดยสารขนส่งสาธารณะพวกนี้ฟรี แล้วจะจูงใจให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวมาใช้มากขึ้น
“ซึ่งผมไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้นครับ คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว เขาใช้อยู่เพราะความสะดวกในเหตุจำเป็นอื่นๆ ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินขึ้นรถเมล์หรือรถไฟฟ้าครับ คนที่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ก็มีเพียงแค่การประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ที่เดินทางด้วยรถเมล์และรถไฟฟ้าอยู่แล้ว และบริษัทที่ให้บริการขนส่งอยู่ครับ ดังนั้นถ้ามีงบประมาณจะละลายแม่น้ำได้ขนาดนี้ น่าจะเอาไปใช้ซื้ออะไรอย่างอื่นที่เป็นเครื่องบรรเทาแก้ไขปัญหาฝุ่นโดยตรงดีกว่าครับ”