– จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ โดยวันนี้สหรัฐฯ มีกำหนดประกาศตัวเลขที่สำคัญหลายรายการ ได้แก่ 1. ตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 1/20 ครั้งที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะหดตัว 4.8% (QoQ) เท่ากับการประกาศเบื้องต้นครั้งก่อนหน้า สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 2. ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 2.1 ล้านตำแหน่ง ลดลงจากครั้งก่อนหน้าที่ 2.438 ล้านตำแหน่ง จากแนวโน้มการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้การจ้างงานค่อยๆ ฟื้นตัว 3. ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนประจำเดือนเมษายน ซึ่งยังเป็นเดือนที่ยังมีมาตรการล็อกดาวน์ในหลายรัฐทั่วสหรัฐฯ ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัว 14.0% (MoM)
– คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) แถลงว่า การใช้จ่ายทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้น ณ ขณะนี้ จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปอีกครั้ง อันเนื่องมาจากต้นทุนการกู้ยืมที่ตํ่าจากภาวะดอกเบี้ยตํ่า แม้มีการประมาณการเพิ่มเติมว่าเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปอาจหดตัว 8-12% หลังภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากการว่างงานในช่วงล็อกดาวน์ พร้อมประกาศสนับสนุนให้รัฐบาลประเทศต่างๆ พิจารณาใช้มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหากจำเป็น
– วันนี้ธนาคารกลางเกาหลีใต้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.50% ลงสู่ระดับ 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 กดดันภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในปี 2020 จะหดตัว 0.2% ลดลงจากที่ก่อนหน้านี้ประเมินไว้ที่ขยายตัว 2.1%
– กระทรวงการคลังและกรมการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) เตรียมจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือสายการบินที่อยู่ภายใต้การรับรองของ CAAC และสายการบินเพื่อการบรรทุกสินค้า ผ่านทางการให้เงินชดเชยการปรับปรุงเครื่องบินระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 สูงสุด 1.45 ล้านหยวนต่อลำ เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการบินในช่วงเวลาที่ธุรกิจการบินซบเซา
– โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตือนว่า อาจใช้คำสั่งพิเศษผู้บริหาร (Executive Order) ในการควบคุมหรือปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของสหรัฐฯ เช่น เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่ทวิตเตอร์ขึ้นแถบข้อความให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในทวีตของทรัมป์ โดยที่กลุ่มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างเฟซบุ๊กและกูเกิล ต่างปฏิเสธให้ความเห็นต่อท่าทีดังกล่าว
ภาวะตลาดวานนี้
– ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเรือสำราญและกลุ่มการบินของนักลงทุนที่เริ่มคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นฟูในเร็วๆ นี้ สืบเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ใน 50 รัฐของสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้หุ้นเซกเตอร์ดังกล่าวถูกกดดันจากแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวขึ้น หลังคณะกรรมาธิการยุโรป หรือ EC ได้จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 7.50 แสนล้านยูโร ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น
– สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังตลาดเริ่มกังวลสต๊อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ว่าอาจเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายๆ ท่าน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะประกาศในค่ำคืนนี้ ด้านสัญญาทองคำปรับตัวลงจากความคาดหวังที่เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นฟูในเร็วๆ นี้ ส่งผลให้นักลงทุนย้ายเม็ดเงินจากทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย สู่สินทรัพย์ที่เสี่ยงกว่า เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า
สหรัฐฯ
– Dow 30 อยู่ที่ 25548.27 เพิ่มขึ้น 553.16 (2.21%)
– S&P 500 อยู่ที่ 3036.13 เพิ่มขึ้น 44.36 (1.48%)
– Nasdaq อยู่ที่ 9412.36 เพิ่มขึ้น 72.14 (0.77%)
ยุโรป
– DAX อยู่ที่ 11657.69 เพิ่มขึ้น 153.04 (1.33%)
– FTSE 100 อยู่ที่ 6144.25 เพิ่มขึ้น 76.49 (1.26%)
– Euro Stoxx 50 อยู่ที่ 3051.08 เพิ่มขึ้น 51.86 (1.73%)
– FTSE MIB อยู่ที่ 17910.25 เพิ่มขึ้น 49.79 (0.28%)
เอเชีย
– Nikkei 225 อยู่ที่ 21419.23 เพิ่มขึ้น 148.06 (0.7%)
– S&P/ASX 200 อยู่ที่ 5775 ลดลง -5 (-0.09%)
– Shanghai อยู่ที่ 2836.53 ลดลง -0.28 (-0.01%)
– SZSE Component อยู่ที่ 10682.7 ลดลง -132.73 (-1.23%)
– China A50 อยู่ที่ 13218.57 ลดลง -55.22 (-0.42%)
– Hang Seng อยู่ที่ 23301.36 ลดลง -83.3 (-0.36%)
– Taiwan Weighted อยู่ที่ 11014.66 เพิ่มขึ้น 17.45 (0.16%)
– SET อยู่ที่ 1345.11 เพิ่มขึ้น 9.02 (0.68%)
– KOSPI อยู่ที่ 2031.2 เพิ่มขึ้น 1.42 (0.07%)
– IDX Composite อยู่ที่ 4641.56 เพิ่มขึ้น 14.76 (0.32%)
– BSE Sensex อยู่ที่ 31605.22 เพิ่มขึ้น 995.92 (3.25%)
– PSEi Composite อยู่ที่ 5523.78 เพิ่มขึ้น 26.95 (0.49%)
Commodity
– ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 31.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง -2.3 (-6.75%)
– ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อยู่ที่ 34.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง -1.82 (-5.05%)
– ราคาทองคำอยู่ที่ 1711.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลง -1.96 (-0.12%)
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- Infoquest
- Bloomberg
- Investing
- CNBC
- Reuters