บรรยากาศหลังเสียงนกหวีดสุดท้ายของเกมดังขึ้นนั้นแทบไม่ต่างจากเกมนัดชิงชนะเลิศ
ความจริงมันก็มีส่วนชวนให้คิดเมื่อสนามนั้นก็คือลุซนิกิ สเตเดียม สังเวียนที่จะใช้ในนัดชิงชนะเลิศวันที่ 15 กรกฎาคม และบรรยากาศในสนามเวลานั้นคือวันแห่งการฉลองชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
Oliver Kay ผู้สื่อข่าว The Times ซึ่งประจำการอยู่ในสนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย บรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นว่าเป็นบรรยากาศที่ ‘พิเศษ’ โดยเฉพาะเสียงที่เกิดขึ้นนั้นดังกึกก้องราวกับเสียงพสุธากัมปนาท
ขณะที่มีรายงานว่าที่กรุงเม็กซิโกซิตี้ มีการตรวจจับแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงได้ในเวลา 11.32 น. มันคือเวลาเดียวกับที่ เออร์วิง โลซาโน ทำประตูขึ้นนำให้กับทีม ‘จังโก้’ เหนือแชมป์โลกเยอรมนี ซึ่งสุดท้ายมันกลายเป็นประตูแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชนชาติ
น้ำตาที่ไหลจากสองตาลงมาอาบแก้มของ ฮาเวียร์ ชิชาริโต เฮอร์นานเดซ นั้นบรรยายทุกความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
ในทางตรงกันข้าม สำหรับทีมชาติเยอรมนี นี่คือความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของ Die Mannschaft
Raphael Honigstein คนข่าวลูกหนังชาวเยอรมันชื่อก้องสรุปสิ่งที่เขาได้เห็นเป็นคำสั้นๆ คำเดียวผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า ‘vogelwild’ คำที่ผู้ติดตามของเขาจำนวนมากพยายามสอบถามถึงความหมายแต่ก็ไม่มีใครได้คำตอบ
เพียงแต่ทุกคนรู้ว่ามันไม่ใช่ความหมายในทางที่ดีอย่างแน่นอน
Honigstein ไม่ได้ให้คำตอบในคำนั้น แต่พยายามอธิบายความต่อว่า เขาเองก็แทบนึกไม่ออกว่าครั้งสุดท้ายที่เยอรมนีลงสนามด้วยฟอร์มการเล่นที่แย่ขนาดนี้นั้นเกิดขึ้นเมื่อไร บางทีอาจจะเป็นเกมที่พบกับโครเอเชีย ในยูโร 2008 (ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นผมอยู่ในสนามด้วย) หรือบางทีอาจจะเป็นเกมกับกานา ในฟุตบอลโลก 2014
แต่ไม่มีเกมไหนที่จะแย่และเลวร้ายเท่านี้
Photo: Reuters
เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางของเยอรมนีแม้แต่คนเดียวในระยะ 40 หลาในแดนรับเมื่อพวกเขาเสียบอล และนั่นทำให้ผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กนั้นเผชิญกับความเสี่ยงอย่างสูงที่จะต้องอยู่ในสถานการณ์ดวล ‘ตัวต่อตัว’ ในพื้นที่ด้านบนของแนวรับที่ดันขึ้นสูง
เยอรมนีตกอยู่ใต้สถานการณ์ที่คิดไม่ออกและบอกไม่ถูกว่าพวกเขาจะจัดการกับ เม็กซิโก จังโก้สุดแสนอันตรายได้อย่างไร
จะจับก็จับไม่ได้ จะไล่ก็ไล่ไม่ทัน จะยันก็ยันไม่ไหว พวกเขาไม่รู้ว่าจะหยุด เออร์วิง โลซาโน, ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ และ คาร์ลอส เวลา สามทหารเสือในแนวรุกของเม็กซิโกได้อย่างไร
หากเกมนี้เม็กซิโกจะเฉียบคมสักนิด เรามีโอกาสจะได้เห็นเยอรมนีในสภาพเดียวกับที่พวกเขาเคยกระทำต่อบราซิลในเกมโศกนาฏกรรม ‘Mineirazo’ ที่สนามเอสตาดิโอ มิไนเรา ในเมืองเบโล ฮอริซอนเต เมื่อ 4 ปีก่อน
บุญรักษาสำหรับชาวเยอรมัน ที่แนวรุกจังโก้ยังไม่เฉียบคมเท่า ‘อินทรีเหล็ก’ ที่สยายปีกไว้ 7-1 ในวันนั้น
โยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ ยกย่องเม็กซิโกว่าเป็นคู่แข่งที่ ‘แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ’ แต่ในทางตรงกันข้าม บางทีอาจเป็นเยอรมนีเองที่อ่อนแอลงอย่างน่าใจหาย
ถึงจะมีสถานะเป็นแชมป์โลก และเป็นทีมเต็งลำดับต้นๆ ของรายการ แต่ผลงานในระยะหลังของเยอรมนีมีอาการน่าเป็นห่วงมาสักพัก ในเกมอุ่นเครื่อง 6 นัดพวกเขาชนะเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น และการชนะครั้งเดียวนั้นเป็นการชนะซาอุดีอาระเบียแบบหืดจับ 2-1 ที่เลเวอร์คูเซนเมื่อ 9 วันที่แล้ว
ฟอร์มสำหรับเยอรมนีอาจน่าเป็นห่วง แต่ทุกคนยังเชื่อว่าสิ่งที่ยืนยงกว่าคือ Class หรือชั้นเชิงที่อยู่ตลอดไป
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป
มานูเอล นอยเออร์ ในวันนี้ ด้วยสภาพของผู้เล่นที่บาดเจ็บตลอดทั้งปี เขาดูไม่พร้อมสำหรับการทำหน้าที่ในรายการใหญ่แบบนี้
ในเกมรับเล่า? เมื่อขาด โยนาส เฮคเตอร์ เกมริมเส้นทางซ้ายนั้นแทบบอดสนิท เพราะตัวแทนอย่าง มาร์วิน แพลทเทนฮาร์ท จากแฮร์ธา เบอร์ลิน อ่อนเชิงกว่ามาก ขณะที่อีกฟาก โจชัว คิมมิช เน้นหนักในเกมรุกแต่ละเลยเกมรับ ซึ่งทำให้ผลงานนั้นแตกต่างจากรุ่นพี่อย่าง ฟิลิปป์ ลาห์ม กัปตันทีมผู้ชูโทรฟีเวิลด์คัพเมื่อ 4 ปีก่อนมาก
ที่แดนกลาง ซามี เคดิรา และ โทนี โครส เชื่องช้าและอ่อนแอ พวกเขาไม่สามารถช่วยเบรกหรือชะลอเกมรุกที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดของเม็กซิโกได้ ขณะที่ในแนวรุกไม่ว่าจะ เมซุต โอซิล, โธมัส มุลเลอร์ หรือ จูเลียน แดร็กซ์เลอร์ รวมถึงความหวังใหม่อย่าง ติโม แวร์เนอร์ ไม่มีใครที่เล่นได้สมศักดิ์ศรีเสื้อที่พวกเขาสวมใส่อยู่เลย
หลายคนคิดถึงความเร็วสายฟ้าฟาดของ เลรอย ซาเน ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
บอลอาจอยู่ในการครอบครองของเยอรมนี แต่มีไม่กี่ครั้งที่พวกเขาจะทำให้เม็กซิโก รู้สึกสั่นที่หัวใจ จะมีมือทาบอกบ้างก็แค่ลูกฟรีคิกของ โทนี โครส ที่ไปชนคาน กับลูกวอลเลย์นอกกรอบเขตโทษของ ยูเลียน บรันด์ท ที่แฉลบเสาออก
ตรงข้ามกับเวลาที่เม็กซิโกจู่โจมขึ้นมา โดยเฉพาะการเจาะพื้นที่หลังแบ็กที่ลอยสูง พวกเขาทำให้หัวใจของคนเยอรมันแทบหยุดเต้นได้ตลอดเวลา
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร เยอรมนีก็ยิ่งดำดิ่งลงไปในความมืดมนอนธการ
สำหรับเยอรมนี พวกเขายังไม่ได้ตกรอบ มันเป็นแค่ความพ่ายแพ้หนึ่งเกม ประตูและโอกาสยังเปิดอยู่ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องจัดการ และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วหากไม่อยากเผชิญชะตากรรมเหมือนฝรั่งเศสหรือสเปน แชมป์โลกที่ต้องตกรอบแรกไปแบบไม่ชนะสักนัด
Photo: Reuters
ในทางตรงกันข้ามสำหรับเม็กซิโก ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจและเชื่อว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชนะมากขึ้นเท่านั้น
ราฟาเอล มาร์เกซ ปราการหลังวัย 39 ปีถูกส่งลงสนามเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของสถิติที่ยิ่งใหญ่ในฐานะนักฟุตบอลคนที่ 3 ของโลกที่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากถึง 5 สมัย สถิติที่แม้แต่เปเล่หรือมาราโดนาก็ทำไม่ได้
ก่อนที่เสียงนกหวีดจะดังขึ้นพร้อมเสียงกู่ร้องด้วยความสะใจที่สุดในโลกของเหล่าพลพรรค El Tri ประหนึ่งพวกเขาได้แชมป์โลกในวันนี้
มันอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น แต่มันก็ยิ่งใหญ่และควรค่าแก่การกู่ร้องให้ก้องฟ้าไม่ใช่หรือ?
พลันนั้นผมคิดถึงเสียงกีตาร์ของเจ้าหนู Miguel และเหล่าดวงวิญญาณหน้าขาวในแอนิเมชัน Coco ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เหล่าบรรพบุรุษทั้งหลาย วันนี้เม็กซิโกทำได้แล้ว ท่านเห็นไหม
- ‘บราซิล แห่งยุโรป’ เซอร์เบีย ประเดิมการกลับมาในฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 8 ปีด้วยชัยชนะเหนือคอสตาริกา ผลต่างอาจจะน้อย ฟอร์มไม่ถึงกับดีมาก แต่อย่างน้อยก็เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ที่ดีสำหรับขุนพลนักเตะสลาฟ ชาติที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต
- คอสตาริกาสร้างเซอร์ไพรส์ในฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่วันนี้ทีม ‘กล้วยหอม’ เจอปัญหาคลาสสิกเมื่อผู้เล่นตัวหลักเริ่มโรยรา และไม่มีความหวังจากสายเลือดใหม่ที่ดีพอ
- บราซิลเป็นอีกหนึ่งชาติตัวเต็งที่น่าผิดหวังทั้งที่อยู่ในสถานะทีมเต็ง และมีขุมกำลังที่ว่ากันว่าดีกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่ได้เป็นเจ้าภาพในบ้านเกิดเสียอีก แต่ทีมที่มีนักเตะอย่าง เนย์มาร์, คูตินโญ, กาเบรียล เฆซุส กลับไม่สามารถเจาะผ่านเกมรับของสวิตเซอร์แลนด์ได้
- เป็นอีกครั้งที่เนย์มาร์ล้มเหลวในการพิสูจน์ว่าเขาจะนำชัยชนะมาสู่บราซิลได้ แม้จะมีความเห็นใจต่อสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่ทุกคนคาดหวังว่าเขาจะทำได้ดีกว่านี้
- สวิตเซอร์แลนด์ เป็นอีกหนึ่งชาติที่แสดงให้เห็นในฟุตบอลโลกครั้งนี้ว่า ระยะห่างระหว่างมหาอำนาจกับชาติที่เป็นรองนั้นเขยิบเข้าใกล้กันทุกที ด้วยศาสตร์ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์การกีฬา
- ในบรรดา 4 ทีมเต็ง ฝรั่งเศส, สเปน, บราซิล และเยอรมัน มีเพียงแค่ฝรั่งเศสที่ชนะทีมเดียว เช่นกันกับทีมเต็งรองลงมาอย่างอาร์เจนตินา จะเหลือเพียงเบลเยียมและอังกฤษ ที่มีคิวจะลงสนามในคืนนี้