×

ชัยชนะและความหวังครั้งใหม่ของอังกฤษ

19.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ความแตกต่างระหว่างคราวนี้กับเกมยูโร 2016 คือการที่คนเตะมุมเป็น คีแรน ทริปเปียร์ วิงแบ็กขวาที่วางเท้าเปิดบอลได้ดีคนหนึ่ง และ แฮร์รี เคน รออยู่แถวเสาสองในกรอบเขตโทษ
  • ประตูนี้เป็นประตูชัยให้ อังกฤษ คว้าชัยชนะนัดแรกในฟุตบอลโลก 2018 และยังมีความหมายพิเศษสำหรับ เคน กัปตันทีมคนใหม่ของเหล่า ‘สิงโตคำราม’ ที่ปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างในจิตใจได้ด้วย 2 ประตูในช่วงต้นและท้ายเกม
  • ไม่มีใครอยากคาดหวังมากนักกับอังกฤษ ทีมที่เมื่อกางรายชื่อออกมาแล้วหานักเตะในระดับสตาร์เหมือนยุค Golden generation ที่มี เวย์น รูนีย์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงก์​ แลมพาร์ด, พอล สโคลส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์ หรือ ไมเคิล โอเวน ไม่เจอ
  • ประสบการณ์อาจจะน้อย ฝีมืออาจจะไม่มาก แต่อย่างน้อยที่สุด เซาธ์เกต พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง และตัดสินใจทุกอย่างด้วยความมั่นใจ

บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในศึกฟุตบอลยูโร 2016 ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันก่อนนะครับ

 

เวลานั้น อังกฤษตามหลังไอซ์แลนด์อยู่ในขณะนั้นที่สกอร์ 1-2 พวกเขาเหลือเวลาอีกแค่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่เวลาจะหมดลง

 

อังกฤษได้ลูกเตะมุม ผู้เล่นทุกคนต่างวิ่งกรูเข้ามาในเขตโทษเพื่อลุ้นทำประตู ไม่เว้นแม้แต่ โจ ฮาร์ต ผู้รักษาประตูที่ขอละทิ้งหน้าที่ เพราะรู้ว่าโอกาสครั้งนี้คือโอกาสครั้งสุดท้าย

 

แต่ในกรอบเขตโทษนั้นกลับไม่มี แฮร์รี เคน นักเตะที่มีทักษะในการทำประตูดีที่สุดของทีม เหตุเพราะเคนต้องมาทำหน้าที่เป็นคนเตะลูกเตะมุมในจังหวะนั้น

 

ภาพนี้เป็นภาพที่นำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ทีมชาติอังกฤษ ภายใต้ยุคของ รอย ฮอดจ์สัน อย่างมาก เพราะในขณะที่ทีมต้องการประตูมากที่สุด กลับเอาผู้เล่นที่ดีที่สุดไปใช้ผิดหน้าที่

 

สุดท้ายอังกฤษ ชาติที่อ้างว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอลก็ไม่ได้ประตู ต้องพ่ายต่อ ไอซ์แลนด์ ชาติที่มีประชากรเพียงแค่ 300,000 กว่าคน และเพิ่งมีประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลรายการระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก ตกรอบไปแบบน่าอดสู

 

และสำหรับ แฮร์รี เคน มันเป็นอีกรายการที่เขาผิดหวัง เพราะไม่สามารถส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้แม้แต่ครั้งเดียว

 

ทีนี้บิดเข็มนาฬิกากลับมาที่ปัจจุบัน

 

ในเกมที่ โวลโกกราด อารีนา อังกฤษ เจอสถานการณ์ลำบากอีกครั้งเมื่อยังเสมอกับ ตูนิเซีย อยู่ 1-1 ในรูปเกมที่พวกเขาเองก็ถือว่าเล่นได้ไม่ขี้เหร่นัก อย่างน้อยมีความมุ่งมั่น มีชีวิตชีวา เพียงแค่ยังหาสกอร์ไม่เจอ

 

ทีมของ แกเร็ธ​ เซาธ์เกต ยังพยายามบุกอย่างหนักจนหมดเวลา 90 นาทีปกติ โดยในวินาทีเดียวกับที่ผู้ช่วยผู้ตัดสินที่ 4 ชูป้ายเลข 4 บ่งบอกเวลาที่เหลือสำหรับพวกเขาได้ลูกเตะมุมทางฝั่งขวาของสนาม

 

ความแตกต่างระหว่างคราวนี้กับเกมยูโร 2016 คือการที่คนเตะมุมเป็น คีแรน ทริปเปียร์ วิงแบ็กขวาที่วางเท้าเปิดบอลได้ดีคนหนึ่ง

 

และ แฮร์รี เคน รออยู่แถวเสาสองในกรอบเขตโทษ

 

ทริปเปียร์ เปิดเข้ามาบริเวณจุดโทษ แฮร์รี แม็กไกวร์ ขึ้นโหม่งเช็ดต่อให้ เคน ที่สลัดตัวประกบไปยืนรอแถวเสาสองตั้งคอ ‘ขวิด’ บอลในระยะ 3 หลาเข้าประตู

 

ประตูนี้เป็นประตูชัยให้ อังกฤษ คว้าชัยชนะนัดแรกในฟุตบอลโลก 2018 และยังมีความหมายพิเศษสำหรับ เคน กัปตันทีมคนใหม่ของเหล่า ‘สิงโตคำราม’ ที่ปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างในจิตใจได้ด้วย 2 ประตูในช่วงต้นและท้ายเกม

 

อาจจะทำได้ไม่เท่ากับที่แอบหยอดไว้ก่อนเกมว่าอยากทำแฮตทริกให้ได้เหมือน คริสเตียโน โรนัลโด แต่แค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

 

 

นี่จึงนับเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของทีมชาติอังกฤษอย่างแท้จริง และแน่นอนว่าเป็นการเริ่มต้นยุคสมัยของเขาเจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมในวัย 24 ปี ที่น่าจะยังเหลือเวลาให้ทำหน้าที่กันอีกนานพอสมควร

 

เช่นกันกับการที่ อังกฤษ ได้กลับมาเป็นทีมที่น่าสนใจอีกครั้ง

 

อย่างที่ทราบกันครับว่าในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทีมของ เซาธ์เกต ไม่ถูกจับตามองในฐานะ ‘ทีมเต็ง’ เหมือนที่สื่ออังกฤษพยายามยกย่องเหมือนที่ผ่านมา เรียกว่ากระแสความคาดหวังนั้นแทบไม่มี

 

ไม่มีใครอยากคาดหวังมากนักกับทีมที่เมื่อกางรายชื่อออกมาแล้วหานักเตะในระดับสตาร์เหมือนยุค Golden generation ที่มี เวย์น รูนีย์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงก์​ แลมพาร์ด, พอล สโคลส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์ หรือ ไมเคิล โอเวน ไม่เจอ

 

เซาธ์เกต เลือกทิ้งนักเตะที่ชื่อชั้นดีกว่าอย่าง แจ็ค วิลเชียร์, อดัม ลัลลานา รวมถึง รูนีย์ เจ้าของสถิติทำประตูสูงสุดในทีมชาติทิ้ง เพื่อเลือกนักเตะที่เขาเชื่อใจกว่าอย่าง แฮร์รี แม็กไกวร์, คีแรน ทริปเปียร์ หรือ รูเบน ลอฟตัส-ชีค

 

มันเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนกระแสสังคมถล่มและถ่มใส่

 

ยังดีที่แม้ว่าผลงานในช่วงอุ่นเครื่องที่ผ่านมาไม่ถึงกับดีมากนัก แต่กระแสต่อต้านก็ไม่รุนแรงนัก ยังมีคนที่มองและเชื่อว่า เซาธ์เกต ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

 

คนข่าวและนักเขียนลูกหนังฝีปากกาคมในเมืองผู้ดี แทบไม่มีใครเขียนถึงผู้จัการทีมคนหนุ่มรายนี้ในทางเสียหาย

 

ตรงกันข้ามพวกเขาชื่นชมในสิ่งที่ เซาธ์เกต ได้พยายามทำเพื่อทีมชาติอังกฤษ ตลอดระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา หลังโชคชะตาได้ทำให้เขาต้องรับตำแหน่งนี้โดยไม่คาดคิดเมื่อ แซม อัลลาร์ไดซ์ ต้องออกจากตำแหน่งทั้งที่ทำหน้าที่ได้เพียงแค่เกมเดียว จากคลิปอื้อฉาวที่ใช้หน้าที่การงานหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ

 

ความจริง เซาธ์เกต เคยได้รับการเสนองานให้ทำต่อจาก รอย ฮอดจ์สัน แต่ด้วยประสบการณ์ในการทำงานที่น้อยนิดกับสโมสร มีเพียงแค่มิดเดิลสโบรห์ทีมเดียว ขณะที่กับทีมชาติก็ทำหน้าที่แค่ในทีมชาติชุดเล็ก ทำให้เขาปฏิเสธโอกาสไปในครั้งแรกเพราะอยากสั่งสมวิชาให้มากขึ้น

 

เพียงแต่เมื่อโอกาสมาถึงในครั้งที่สอง เซาธ์เกต ไม่ปล่อยให้มันผ่านไป และมันกลายเป็นความโชคดีสำหรับทีมชาติอังกฤษ มากกว่าโชคดีสำหรับตัวเขาเองด้วยซ้ำ

 

อย่างน้อยเขาได้สลายบรรยากาศแห่งความหมองหม่นที่ปกคลุมทีมชาติอังกฤษมาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่ยุคของ ฮอดจ์สัน กุนซือตกยุคที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะดีพอสำหรับทีมสิงโตคำราม และ ‘บิ๊กแซม’ ที่ถึงจะเป็นยอดฝีมือ แต่มองอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่จะเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษได้อย่างเหมาะสม

 

ประสบการณ์อาจจะน้อย ฝีมืออาจจะไม่มาก แต่อย่างน้อยที่สุด เซาธ์เกต พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง และตัดสินใจทุกอย่างด้วยความมั่นใจ

 

ดังนั้นแม้ 23 ขุนพลทีมชาติอังกฤษชุดนี้จะมีเครื่องหมายคำถามบ้าง แต่สิ่งที่เราได้เห็นใน 90 นาทีแรกของพวกเขาที่รัสเซีย เราได้เห็นทีมที่เล่นกันอย่างเป็นระบบ ‘มีทรง’ มีความมุ่งมั่น

 

และที่สำคัญคือพวกเขามี ‘ทีเด็ด’ อย่าง เคน รออยู่ในกรอบเขตโทษ

 

ตูนิเซีย อาจไม่ใช่คู่แข่งที่ชื่อชั้นดีนัก แต่พวกเขาไม่หมู เช่นเดียวกับที่ทีมรองหลายทีมสร้างปัญหาให้กับเหล่าทีมเต็งในเกมนัดแรกจนทำให้ อาร์เจนตินา, บราซิล, เยอรมนี ยังหาชัยชนะไม่เจอ ขณะที่ ฝรั่งเศส ถึงจะชนะแต่ก็เกือบแย่เมื่อเจอกับ ออสเตรเลีย

 

โลกฟุตบอลมันเปลี่ยนไปมาก ระยะห่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็กมันลดน้อยลงไปทุกทีด้วยเทคโนโลยีและศาสตร์ฟุตบอลสมัยใหม่

 

ผมไม่คิดจะบอกว่าชัยชนะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของอังกฤษ จะเปลี่ยนสถานะของพวกเขาให้กลายเป็นทีมเต็งในชั่วข้ามคืน

 

แน่นอนไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะกลายเป็นแชมป์โลกในวันพรุ่งนี้

 

แต่อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่น่าสนใจสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้

 

ชักเริ่มอยากรู้เหมือนกันครับว่าเจ้าสิงโตหนุ่มตนนี้จะไปได้ไกลถึงไหนกัน

Photo: Reuters

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising