บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในศึกฟุตบอลยูโร 2016 ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันก่อนนะครับ
เวลานั้น อังกฤษตามหลังไอซ์แลนด์อยู่ในขณะนั้นที่สกอร์ 1-2 พวกเขาเหลือเวลาอีกแค่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่เวลาจะหมดลง
อังกฤษได้ลูกเตะมุม ผู้เล่นทุกคนต่างวิ่งกรูเข้ามาในเขตโทษเพื่อลุ้นทำประตู ไม่เว้นแม้แต่ โจ ฮาร์ต ผู้รักษาประตูที่ขอละทิ้งหน้าที่ เพราะรู้ว่าโอกาสครั้งนี้คือโอกาสครั้งสุดท้าย
แต่ในกรอบเขตโทษนั้นกลับไม่มี แฮร์รี เคน นักเตะที่มีทักษะในการทำประตูดีที่สุดของทีม เหตุเพราะเคนต้องมาทำหน้าที่เป็นคนเตะลูกเตะมุมในจังหวะนั้น
ภาพนี้เป็นภาพที่นำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ทีมชาติอังกฤษ ภายใต้ยุคของ รอย ฮอดจ์สัน อย่างมาก เพราะในขณะที่ทีมต้องการประตูมากที่สุด กลับเอาผู้เล่นที่ดีที่สุดไปใช้ผิดหน้าที่
สุดท้ายอังกฤษ ชาติที่อ้างว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอลก็ไม่ได้ประตู ต้องพ่ายต่อ ไอซ์แลนด์ ชาติที่มีประชากรเพียงแค่ 300,000 กว่าคน และเพิ่งมีประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลรายการระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก ตกรอบไปแบบน่าอดสู
และสำหรับ แฮร์รี เคน มันเป็นอีกรายการที่เขาผิดหวัง เพราะไม่สามารถส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้แม้แต่ครั้งเดียว
ทีนี้บิดเข็มนาฬิกากลับมาที่ปัจจุบัน
ในเกมที่ โวลโกกราด อารีนา อังกฤษ เจอสถานการณ์ลำบากอีกครั้งเมื่อยังเสมอกับ ตูนิเซีย อยู่ 1-1 ในรูปเกมที่พวกเขาเองก็ถือว่าเล่นได้ไม่ขี้เหร่นัก อย่างน้อยมีความมุ่งมั่น มีชีวิตชีวา เพียงแค่ยังหาสกอร์ไม่เจอ
ทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ยังพยายามบุกอย่างหนักจนหมดเวลา 90 นาทีปกติ โดยในวินาทีเดียวกับที่ผู้ช่วยผู้ตัดสินที่ 4 ชูป้ายเลข 4 บ่งบอกเวลาที่เหลือสำหรับพวกเขาได้ลูกเตะมุมทางฝั่งขวาของสนาม
ความแตกต่างระหว่างคราวนี้กับเกมยูโร 2016 คือการที่คนเตะมุมเป็น คีแรน ทริปเปียร์ วิงแบ็กขวาที่วางเท้าเปิดบอลได้ดีคนหนึ่ง
และ แฮร์รี เคน รออยู่แถวเสาสองในกรอบเขตโทษ
ทริปเปียร์ เปิดเข้ามาบริเวณจุดโทษ แฮร์รี แม็กไกวร์ ขึ้นโหม่งเช็ดต่อให้ เคน ที่สลัดตัวประกบไปยืนรอแถวเสาสองตั้งคอ ‘ขวิด’ บอลในระยะ 3 หลาเข้าประตู
ประตูนี้เป็นประตูชัยให้ อังกฤษ คว้าชัยชนะนัดแรกในฟุตบอลโลก 2018 และยังมีความหมายพิเศษสำหรับ เคน กัปตันทีมคนใหม่ของเหล่า ‘สิงโตคำราม’ ที่ปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างในจิตใจได้ด้วย 2 ประตูในช่วงต้นและท้ายเกม
อาจจะทำได้ไม่เท่ากับที่แอบหยอดไว้ก่อนเกมว่าอยากทำแฮตทริกให้ได้เหมือน คริสเตียโน โรนัลโด แต่แค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
นี่จึงนับเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของทีมชาติอังกฤษอย่างแท้จริง และแน่นอนว่าเป็นการเริ่มต้นยุคสมัยของเขาเจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมในวัย 24 ปี ที่น่าจะยังเหลือเวลาให้ทำหน้าที่กันอีกนานพอสมควร
เช่นกันกับการที่ อังกฤษ ได้กลับมาเป็นทีมที่น่าสนใจอีกครั้ง
อย่างที่ทราบกันครับว่าในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทีมของ เซาธ์เกต ไม่ถูกจับตามองในฐานะ ‘ทีมเต็ง’ เหมือนที่สื่ออังกฤษพยายามยกย่องเหมือนที่ผ่านมา เรียกว่ากระแสความคาดหวังนั้นแทบไม่มี
ไม่มีใครอยากคาดหวังมากนักกับทีมที่เมื่อกางรายชื่อออกมาแล้วหานักเตะในระดับสตาร์เหมือนยุค Golden generation ที่มี เวย์น รูนีย์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงก์ แลมพาร์ด, พอล สโคลส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์ หรือ ไมเคิล โอเวน ไม่เจอ
เซาธ์เกต เลือกทิ้งนักเตะที่ชื่อชั้นดีกว่าอย่าง แจ็ค วิลเชียร์, อดัม ลัลลานา รวมถึง รูนีย์ เจ้าของสถิติทำประตูสูงสุดในทีมชาติทิ้ง เพื่อเลือกนักเตะที่เขาเชื่อใจกว่าอย่าง แฮร์รี แม็กไกวร์, คีแรน ทริปเปียร์ หรือ รูเบน ลอฟตัส-ชีค
มันเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนกระแสสังคมถล่มและถ่มใส่
ยังดีที่แม้ว่าผลงานในช่วงอุ่นเครื่องที่ผ่านมาไม่ถึงกับดีมากนัก แต่กระแสต่อต้านก็ไม่รุนแรงนัก ยังมีคนที่มองและเชื่อว่า เซาธ์เกต ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
คนข่าวและนักเขียนลูกหนังฝีปากกาคมในเมืองผู้ดี แทบไม่มีใครเขียนถึงผู้จัการทีมคนหนุ่มรายนี้ในทางเสียหาย
ตรงกันข้ามพวกเขาชื่นชมในสิ่งที่ เซาธ์เกต ได้พยายามทำเพื่อทีมชาติอังกฤษ ตลอดระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา หลังโชคชะตาได้ทำให้เขาต้องรับตำแหน่งนี้โดยไม่คาดคิดเมื่อ แซม อัลลาร์ไดซ์ ต้องออกจากตำแหน่งทั้งที่ทำหน้าที่ได้เพียงแค่เกมเดียว จากคลิปอื้อฉาวที่ใช้หน้าที่การงานหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ
ความจริง เซาธ์เกต เคยได้รับการเสนองานให้ทำต่อจาก รอย ฮอดจ์สัน แต่ด้วยประสบการณ์ในการทำงานที่น้อยนิดกับสโมสร มีเพียงแค่มิดเดิลสโบรห์ทีมเดียว ขณะที่กับทีมชาติก็ทำหน้าที่แค่ในทีมชาติชุดเล็ก ทำให้เขาปฏิเสธโอกาสไปในครั้งแรกเพราะอยากสั่งสมวิชาให้มากขึ้น
เพียงแต่เมื่อโอกาสมาถึงในครั้งที่สอง เซาธ์เกต ไม่ปล่อยให้มันผ่านไป และมันกลายเป็นความโชคดีสำหรับทีมชาติอังกฤษ มากกว่าโชคดีสำหรับตัวเขาเองด้วยซ้ำ
อย่างน้อยเขาได้สลายบรรยากาศแห่งความหมองหม่นที่ปกคลุมทีมชาติอังกฤษมาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่ยุคของ ฮอดจ์สัน กุนซือตกยุคที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะดีพอสำหรับทีมสิงโตคำราม และ ‘บิ๊กแซม’ ที่ถึงจะเป็นยอดฝีมือ แต่มองอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่จะเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษได้อย่างเหมาะสม
ประสบการณ์อาจจะน้อย ฝีมืออาจจะไม่มาก แต่อย่างน้อยที่สุด เซาธ์เกต พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง และตัดสินใจทุกอย่างด้วยความมั่นใจ
ดังนั้นแม้ 23 ขุนพลทีมชาติอังกฤษชุดนี้จะมีเครื่องหมายคำถามบ้าง แต่สิ่งที่เราได้เห็นใน 90 นาทีแรกของพวกเขาที่รัสเซีย เราได้เห็นทีมที่เล่นกันอย่างเป็นระบบ ‘มีทรง’ มีความมุ่งมั่น
และที่สำคัญคือพวกเขามี ‘ทีเด็ด’ อย่าง เคน รออยู่ในกรอบเขตโทษ
ตูนิเซีย อาจไม่ใช่คู่แข่งที่ชื่อชั้นดีนัก แต่พวกเขาไม่หมู เช่นเดียวกับที่ทีมรองหลายทีมสร้างปัญหาให้กับเหล่าทีมเต็งในเกมนัดแรกจนทำให้ อาร์เจนตินา, บราซิล, เยอรมนี ยังหาชัยชนะไม่เจอ ขณะที่ ฝรั่งเศส ถึงจะชนะแต่ก็เกือบแย่เมื่อเจอกับ ออสเตรเลีย
โลกฟุตบอลมันเปลี่ยนไปมาก ระยะห่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็กมันลดน้อยลงไปทุกทีด้วยเทคโนโลยีและศาสตร์ฟุตบอลสมัยใหม่
ผมไม่คิดจะบอกว่าชัยชนะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของอังกฤษ จะเปลี่ยนสถานะของพวกเขาให้กลายเป็นทีมเต็งในชั่วข้ามคืน
แน่นอนไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะกลายเป็นแชมป์โลกในวันพรุ่งนี้
แต่อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่น่าสนใจสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้
ชักเริ่มอยากรู้เหมือนกันครับว่าเจ้าสิงโตหนุ่มตนนี้จะไปได้ไกลถึงไหนกัน
Photo: Reuters