Loretta Mester ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สาขาคลีฟแลนด์ แสดงความเห็นสนับสนุนการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพราะเป็นความจำเป็นที่ต้องทำเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งโดยส่วนตัว Mester มองว่า Fed ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้อยู่เหนือระดับ 4% ภายในต้นปี 2023 และควรต้องคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ความเห็นของ Mester สวนทางกับความเห็นส่วนใหญ่ของตลาดปัจจุบันที่ประเมินว่า มีโอกาสเพียง 1 ใน 3 ที่อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นเหนือระดับ 4% ในปีหน้า
ขณะเดียวกัน Mester ในฐานะประธานสาขา Fed ที่มีสิทธิออกเสียงโหวตในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในปีนี้ ยังเห็นว่า Fed ไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่ที่มองว่า Fed จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าได้
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของ Mester ครั้งนี้กลับเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ Jerome Powell ประธาน Fed และ John Williams ประธาน Fed สาขานิวยอร์ก ที่ออกมาแสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่า ภายใต้ภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน Fed ยังมีความจำเป็นที่ยังคงต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ในส่วนของแนวโน้มเงินเฟ้อขาลง Mester คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ น่าจะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 5-6% ในปีหน้า และน่าจะเข้าใกล้เงินเฟ้อเป้าหมายของ Fed ที่ 2% ภายในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ซึ่งการเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยจะมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 2% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของอัตราการว่างงานและความผันผวนสูงของตลาดการเงิน
Mester ย้ำปิดท้ายว่า การที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงยังไม่อาจวางใจได้ และอาจเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หากจะพูดว่า Fed สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้แล้ว และการทำเช่นนั้นจะผลักดันให้สหรัฐฯ หวนคืนสู่ช่วงนโยบายการเงินในยุค 1970 ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะป่วยเรื้อรัง กลายเป็นภาระต้นทุนมหาศาลให้กับครัวเรือนและภาคธุรกิจ
อ้างอิง:
