ความเคลื่อนไหวที่เป็นที่จับตามองในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของรอบปีนี้ยังคงเป็นการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ครั้งสุดท้ายในปี 2022 โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% ในการประชุม 2 วันที่จะสิ้นสุดในวันพุธที่ 14 ธันวาคมนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นข้อบ่งชี้ว่าธนาคารกลางกำลังผ่อนปรนท่าทีที่แข็งกร้าว เนื่องจากเริ่มมีสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้ออาจผ่อนคลายลง
นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ล่าสุดจะสูงกว่าคาด และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งนี้ เพราะ Fed จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ตัวเลขดัชนี CPI ที่สูงกว่าคาดจะส่งผลกระทบต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ Fed
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาวะ เศรษฐกิจถดถอย อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด เปิดกลยุทธ์รับมือเน้น Predict-Prepare-Perform
- ‘ไบเดน’ ปัดเศรษฐกิจโลกตกต่ำไม่ได้มาจากดอลลาร์แข็ง แต่มาจากนโยบายที่ผิดพลาดของประเทศอื่น
- ภาระ ‘ผ่อนบ้าน’ อาจเป็นพายุลูกใหม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก เมื่อดอกเบี้ยบ้านแพงสุดรอบ 15 ปี
ก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมรอบนี้ หลังจากปรับขึ้น 0.75% เป็นจำนวน 4 ครั้งติดต่อกัน สอดคล้องกับท่าทีของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่ออกมาส่งสัญญาณว่า Fed จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
สิ่งที่ต้องจับตามองก็คือถ้อยแถลงของพาวเวลล์หลังการประชุมในวันที่ 14 ธันวาคม ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2023 รวมทั้งการเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่ Fed ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะส่งสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ Fed จนถึงปี 2025
ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึง 5.00% ในกลางปี 2023 หลังการเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินของ Fed ในช่วงที่ผ่านมายังคงไม่สามารถสกัดความร้อนแรงของตลาดแรงงาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่า Fed จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้า เพื่อทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อต่อไป
ด้าน FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่กรอบ 5.00-5.25% ในเดือนพฤษภาคม 2023 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ที่ระดับ 4.75-5.00% ขณะที่ธนาคาร Standard Chartered ออกรายงานคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2.00% ในปีหน้า หากสหรัฐฯ เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนนักวิเคราะห์ของ J.P. Morgan คาดการณ์ไว้ในรายงานล่าสุดว่า Fed จะสรุปการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และนโยบายการคลังที่มีแนวโน้มถูกระงับ ดังนั้น Fed น่าจะยุติวงจรที่เข้มงวดในช่วงต้นปีใหม่ และอัตราเงินเฟ้ออาจเริ่มผ่อนคลายก่อนสิ้นปี 2023
ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนหนึ่งเพิ่มคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งเป็นการประชุมนโยบายการเงินนัดแรกของ Fed ในปีหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา
ในส่วนของความเป็นไปได้ในเรื่อง Soft Landing ทั้งพาวเวลล์ ประธาน Fed และเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ต่างออกมายอมรับก่อนหน้านี้ว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มถดถอยจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะเกิด Soft Landing เป็นไปได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นการที่ Fed ไม่ใช่ธนาคารกลางเพียงแห่งเดียวที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เพราะยังมีธนาคารกลางหลักอย่างธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และธนาคารกลางในนอร์เวย์ เม็กซิโก ไต้หวัน โคลอมเบีย และฟิลิปปินส์ ที่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเช่นกัน ส่งผลให้ Soft Landing อาจไม่มีทางเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เยลเลนยอมรับว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้เท่ากับการหาทางดึงให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงให้ได้
ทั้งนี้ เยลเลนพร้อมด้วยนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเห็นตรงกันว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังสามารถยืนหยัดต้านทานการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงของ Fed ได้ ขณะที่ตลาดงานยังคงโตอย่างแข็งแกร่ง ค่าจ้างเพิ่มขึ้น ชาวอเมริกันกำลังใช้จ่าย และ GDP แข็งแกร่ง แถมธุรกิจยังไปได้ดี ดังนั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่น่าจะเลวร้าย และรัฐบาลสหรัฐฯ กับ Fed จะสามารถรับมือได้
อ้างอิง: