ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) มีโอกาสสูงที่จะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อในเดือนล่าสุดปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
เมื่อคืนที่ผ่านมา (12 ตุลาคม) กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนกันยายน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ปรับตัวสูงขึ้น 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.6% และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าเงินเฟ้อทั่วไปปรับตัวขึ้น 0.4% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 0.3%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 4.3% และเมื่อเทียบรายเดือนเงินเฟ้อพื้นฐานปรับสูงขึ้น 0.3% สอดคล้องกับคาดการณ์ของตลาด
สถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังเร่งตัวขึ้นของสหรัฐฯ ตอกย้ำมุมมองของตลาดที่คาดว่า Fed จะเดินปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปีนี้ และจะรักษาดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนกว่าจะเงินเฟ้อจะย่อตัวลงสู่กรอบเป้าหมาย หรือ Higher for Longer
“แม้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างช้าๆ แต่ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งก็สุ่มเสี่ยงจะทำให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายของ Fed ว่าจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยหรือคงไว้ที่เดิมในการประชุมที่จะมาถึง” Seema Shah หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Principal Asset Management ระบุ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า การดึงเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ในระดับต่ำอย่างยั่งยืนของสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลายาวนาน โดยสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานโลก ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงล่าสุดที่อาจทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ กลับมาเร่งตัวอีกครั้ง
อ้างอิง:
