การประชุมครั้งสุดท้ายประจำปี 2020 นี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเอกฉันท์ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ต่อไป โดยเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายฝ่ายก่อนหน้าที่เชื่อว่า Fed ยังจำเป็นต้องพึ่งพาอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ยังไม่อาจฟื้นตัวได้จากวิกฤตการระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ แถลงการณ์หลังการประชุม Fed ระบุชัดว่า Fed จะเดินหน้าใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มอัตราการจ้างงานในตลาด และการผลักดันให้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเหนือระดับเป้าหมายที่ 2% ให้จงได้
ขณะเดียวกันสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่คุกคามและส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อในระยะสั้น และระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมุมมอง Fed ที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้าค่อนข้างเป็นไปในทางบวก เห็นได้จากการที่ Fed ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า
ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจประเทศจะหดตัวลงเพียง 2.4% ในปีนี้ ลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้าว่าจะหดตัว 3.7% และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถขยายตัวได้ 4.2% ในปี 2021 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4%
นอกจากนี้ Fed ยังได้เพิ่มตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2022 จาก 3% มาอยู่ที่ 3.2%
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ Fed คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.4% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 1.8% ในปีหน้า ขณะที่อัตราการว่างงานปีนี้จะอยู่ที่ 6.7% และลดเหลือระดับ 5% ในปีหน้า และ 4.2% ในปี 2022
สำหรับเหตุผลหลักที่ทำให้ Fed มีมุมมองทางบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้วัคซีนป้องกันโควิด-19 และอยู่ในระหว่างการแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งจะมีส่วนช่วยคลี่คลายสถานการณ์และทำให้เศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการ Fed ยังคงเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ซึ่งหมายรวมถึงการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากภาครัฐ โดยเฉพาะชาวอเมริกันผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มคนที่กำลังตกงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างรุนแรงสาหัส
ขณะที่ทาง Fed ให้คำมั่นว่า จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป เป็นวงเงินรวม 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โดย Fed จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ วงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของ Fed ที่มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: