เดือนกันยายน 2025 เงินบาทแข็งค่าแรงสุดในรอบ 4 ปี อยู่ที่ 31.62 บาท/ดอลลาร์ (9/9/25) ทำเอาคนที่ถือเงินดอลลาร์อยู่อาจจะเริ่มยิ้มไม่ออก โดยเฉพาะคนที่ฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ หรือเรียกสั้นๆ ว่า FCD ที่สังเกตว่าเงินในบัญชีงอกเงยไม่เท่าที่ควร หรือถึงขนาดขาดทุนกันเลยทีเดียว
เราฝากเงินอยู่ดีๆ ทำไมถึงขาดทุนได้ แล้วช่วงที่เงินบาทแข็งแบบนี้ คนที่มีเงินฝาก FCD อยู่ควรทำยังไง
FCD คืออะไร ทำไมหลายคนเลือกเปิดบัญชี
บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ หรือ Foreign Currency Deposit (FCD) เป็นประเภทบัญชีที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสามารถฝากและถอนเงินในสกุลเงินต่างประเทศได้โดยตรง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยูโร (EUR) หรือเยน (JPY) โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อน ซึ่งแตกต่างจากบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวันทั่วไปที่รองรับการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินบาทเท่านั้น
บัญชี FCD เหมาะกับกลุ่มคนที่มีรายได้หรือรายจ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศ เช่น ผู้ที่ทำงานกับบริษัทต่างชาติ นักลงทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากช่วยให้บริหารจัดการเงินได้ง่ายขึ้นและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
แต่อีกเหตุผลที่บัญชี FCD ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คือ อัตราดอกเบี้ยฝากที่สูง ของบางสกุลเงิน ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ในไทย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ที่เคยให้ดอกเบี้ย 4-5% ทำให้มีคนไทยหลายคนนำเงินไปพักไว้ในบัญชี FCD เพื่อคาดหวังผลตอบแทนดอกเบี้ยฝากที่สูง
เห็นได้จากยอดคงค้างบัญชีเงินฝากสกุลดอลลาร์สหรัฐของคนไทย เดือน ก.ค. 2025 ที่สูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จำนวน 1.5 ล้านบัญชี ในขณะที่เทียบกับ ก.ค. 2024 ยอดคงค้างมีเพียง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ จำนวนแค่ 7 แสนบัญชี
ทำไมฝากเงิน FCD ถึงขาดทุนได้
แม้ว่า FCD คือบัญชีเงินฝากเหมือนกัน แต่ช่วงนี้ที่เงินบาทแข็งค่าแรง คนมี FCD กลับเผชิญภาวะขาดทุน แม้จะฝากเงินอยู่เฉยๆ ก็ตาม ซึ่งก็เป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยน
สมมติว่า ฝากเงิน 360,000 บาท ไปฝากในบัญชี FCD เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 36 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ และบัญชีให้ดอกเบี้ย 4% ต่อปี
เราจะได้รับเงินฝาก: 360,000 / 36 = 10,000 ดอลลาร์
ดอกเบี้ยที่ได้รับใน 1 ปี: $10,000 × 4% = 400 ดอลลาร์
ยอดเงินรวมในบัญชี: $10,000 (เงินต้น) + 400 (ดอกเบี้ย) = 10,400 ดอลลาร์
สมมติว่าหลังจาก 1 ปี ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเป็น 31 บาทต่อ 1 ดอลลาร์
มูลค่าเงินเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท: $10,400 × 31 = 322,400 บาท
แม้จะได้รับดอกเบี้ยถึง 400 USD แต่เมื่อแปลงเงินกลับเป็นบาท เราจะได้รับเพียง 322,400 บาท ซึ่งหมายถึง ขาดทุนไป 37,600 บาท (360,000 – 322,400 บาท) จากเงินต้นเดิม
การฝากเงินในบัญชี FCD มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ แม้ว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยตอบแทนที่สูงก็ตาม จากสาเหตุอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาทนั่นเอง
ทำไมเงินบาทแข็งค่า
โดยทั่วไปเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อมี อุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) เงินบาทมากกว่า อุปทาน (ความต้องการขาย) ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล (การส่งออกและท่องเที่ยวมีรายรับมากกว่ารายจ่าย) การไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นหรือพันธบัตรไทย รวมถึงการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงจากภาวะเศรษฐกิจหรือการดำเนินนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ
ในช่วงที่ผ่านมา สาเหตุหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาจาก ความอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยตรง ซึ่งเป็นผลมาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่ย่ำแย่ต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะตัดสินใจ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมครั้งถัดไป ทำให้เงินทุนบางส่วนไหลออกจากดอลลาร์สหรัฐ และหาที่พักในสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
มี FCD อยู่แล้ว ควรทำอย่างไรต่อไป
หากเรามีบัญชี FCD อยู่แล้วและกำลังเผชิญกับช่วงที่เงินบาทแข็งค่าจนทำให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน มีหลายแนวทางที่สามารถพิจารณาได้ โดยขึ้นอยู่กับแผนการเงินและวัตถุประสงค์ในการถือเงินสกุลต่างประเทศของเรา
- ถือเงินไว้ในบัญชีต่อไป
หากยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินบาทในระยะสั้น และวัตถุประสงค์หลักของการฝาก FCD คือเพื่อใช้จ่ายในต่างประเทศ (เช่น การท่องเที่ยว, การชำระค่าสินค้า/บริการ) หรือเพื่อการลงทุนในอนาคต การถือเงินในบัญชี FCD ต่อไปถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด เพราะเรายังไม่ได้ขาดทุนจริงจนกว่าจะมีการแลกกลับเป็นเงินบาท
ข้อดี: รอจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงเพื่อแลกกลับ ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน และยังคงได้รับดอกเบี้ยจากเงินฝาก
ข้อควรระวัง: ต้องไม่รีบร้อนใช้เงิน และต้องยอมรับความผันผวนของค่าเงินในระยะสั้น
- แลกเงินกลับเป็นเงินบาทบางส่วนหรือทั้งหมด
หากเราต้องการนำเงินมาใช้จ่ายในสกุลบาทในช่วงใกล้ๆ นี้ หรือมองว่าทิศทางค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็อาจพิจารณาทยอยแลกเงินกลับเป็นเงินบาทเมื่อมีจังหวะที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงบ้างเพื่อลดความเสี่ยง
ข้อดี: ลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจทำให้ขาดทุนมากขึ้นในอนาคต
ข้อควรระวัง: อาจต้องยอมรับผลขาดทุนที่เกิดขึ้นแล้ว
- นำไปลงทุนต่อในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร สามารถนำเงินจากบัญชี FCD ไปลงทุนต่อในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ใช้สกุลเงินเดียวกัน เช่น กองทุนรวมต่างประเทศ (โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในสหรัฐฯ) หรือหุ้นต่างประเทศ
ข้อดี: เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และใช้เงินบาทจำนวนน้อยกว่าในการซื้อหน่วยลงทุนที่เท่ากัน
ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงินธรรมดา และผลตอบแทนที่ได้จะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของสินทรัพย์นั้นๆ
ยังไม่มี FCD ตอนนี้เป็นจังหวะที่ควรช้อนมั้ย?
โดยทั่วไปแล้ว ช่วงเวลาที่เงินบาทแข็งค่าถือเป็น จังหวะที่ดี ในการเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ เพราะเราจะใช้เงินบาทน้อยลงเพื่อแลกเงินสกุลต่างประเทศได้ในจำนวนเท่าเดิม
หลักการง่ายๆ ก็คือเราจะได้ “ซื้อ” เงินในราคาที่ถูกลง เช่น หากช่วงที่เงินบาทอ่อนค่า เราต้องใช้ 36 บาทเพื่อแลก 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า เราจะใช้แค่ 31 บาทเท่านั้น ซึ่งทำให้ต้นทุนของเราต่ำลงอย่างชัดเจน
การสะสมเงินในบัญชี FCD ช่วงที่บาทแข็งค่าจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีแผนการใช้จ่ายในต่างประเทศในอนาคตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การศึกษาต่อ หรือการลงทุนต่างประเทศ เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมทางการเงินล่วงหน้าโดยอาศัยจังหวะอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นใจ นอกจากนี้ การถือเงินในสกุลต่างประเทศยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาทได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้แน่ชัดว่า เงินบาทจะอ่อนค่าลงเมื่อไร หากเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อไปในระยะยาว เราอาจต้องเจอการขาดทุนที่เกิดขึ้นในแง่ของมูลค่าเมื่อเทียบเป็นเงินบาท ดังนั้น การตัดสินใจเปิดบัญชี FCD ในช่วงนี้จึงควรพิจารณาจากแผนการใช้จ่ายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เป็นสำคัญ
ข้อระวังเพิ่มเติมสำหรับบัญชี FCD
นอกจากความเสี่ยงหลักจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้เงินในบัญชี FCD มีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับเงินบาทแล้ว ยังมีข้อควรระวังเพิ่มเติมที่สำคัญอื่นๆ อีกด้วย
- ความเสี่ยงด้านความคุ้มครองเงินฝาก: เงินฝากในบัญชี FCD ไม่ได้รับความคุ้มครอง จากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งแตกต่างจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สกุลเงินบาทที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หากธนาคารที่เราเปิดบัญชีประสบปัญหาทางการเงิน อาจมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินฝากทั้งหมดหรือบางส่วนได้
- ค่าธรรมเนียมและข้อจำกัด: แต่ละธนาคารอาจมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน เช่น ค่าธรรมเนียมการเปิดบัญชี ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้า-ออก หรือค่าธรรมเนียมรายเดือนหากยอดเงินคงเหลือในบัญชีต่ำกว่าที่กำหนด นอกจากนี้ อาจมีข้อจำกัดเรื่องวงเงินในการฝากถอนต่อวัน และเวลาในการทำธุรกรรมผ่านช่องทางต่างๆ
การเปิดบัญชี FCD จึงไม่เหมือนการฝากเงินกับบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ที่เงินต้นค่อนข้างปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ แม้ว่าการเปิดบัญชีสกุลต่างประเทศจะดูน่าดึงดูดใจมากกว่าด้วยผลตอบแทนที่สูง แต่ผู้ฝากเงินต้องไม่ลืมคำนึงถึงความเสี่ยงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนด้วย
ภาพ: Gwengoat/Getty Images, Andriy Onufriyenko/Getty Images
อ้างอิง: