ผลของโควิดกระทบไปถึงอุตสาหกรรมเสื้อผ้าที่ต้องปิดให้บริการ ‘ห้องลองเสื้อผ้า’ ในร้าน ส่งผลให้ยอดการ ‘คืนสินค้า’ จากการช้อปออนไลน์พุ่งสูงถึง 42% เรื่องนี้กำลังสร้างปัญหาหนักใจให้กับบรรดาร้านแฟชั่น ศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่หลายร้านจึงต่างต้องออกมาหาวิธีแก้ไขวิกฤตนี้ให้เร็วที่สุด
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่สร้างความหนักใจให้กับฝั่งร้านค้าแล้ว เรื่องนี้ก็สร้างความปวดหัวไม่น้อยให้กับฝั่งลูกค้าเช่นเดียวกัน เพราะการไม่สามารถลองสินค้าจริงในร้านได้ ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้กลยุทธ์แก้ปัญหาโดยการสั่งซื้อเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ 2-3 เท่าเผื่อพลาดเอาไว้ด้วย เมื่อเอามาลองที่บ้านแล้ว อันไหนใส่ไม่พอดีก็ค่อยส่งคืน
ในแง่ของธุรกิจยอดการคืนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น ต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาลที่ต้องแบกไว้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับกำไรของบริษัท ทำให้ร้านค้าใหญ่หลายราย รวมถึงตัวแม่ในวงการค้าปลีกอย่าง Wamart กำลังหาทางออกเพื่อยุติวงจรโกลาหลนี้ให้ได้
สมาพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติได้เปิดเผยถึงยอดการคืนสินค้าอยู่ที่ 10.6% ของยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ ในปี 2020 คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 4.28 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 13 ล้านล้านบาท โดยเสื้อผ้าคิดเป็น 12.2% ของยอดขายทั้งหมด และทุกๆ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ขายได้ จะมีการคืนสินค้าโดยเฉลี่ยมูลค่า 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.4 พันล้านบาท
ขณะที่สถาบันวิจัยค้าปลีก Coresight เผยผลสำรวจจากนักช้อปชาวอเมริกันจำนวน 401 คน พบว่า 42.4% เคยคืนสินค้าที่ไม่ต้องการ ระหว่างเดือนมีนาคม 2020 ถึงเดือนเดียวกันปี 2021 ซึ่งคิดเป็นเกือบสองเท่าของยอดการคืนกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ยอดการคืนสินค้าพุ่งสูงขึ้นเช่นนี้ Deborah Weinswig ผู้บริหาร Coresight ให้ความเห็นว่า เป็นผลมาจากที่ผู้บริโภคหลายคนเพิ่งเริ่มสั่งซื้อเสื้อผ้าออนไลน์เป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับการเลือกซื้อหน้าร้านต้องหันมาพึ่งพาในหน้าเว็บแทน จนดันยอดขายเสื้อผ้าและรองเท้าออนไลน์ขึ้นสูงถึง 1.215 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 27.2%
ทั้งนี้เหตุผลหลักๆ ที่ผู้บริโภคเลือกขอคืนเสื้อผ้านั้นมาจากขนาด ความเหมาะสมกับรูปร่าง และสี ที่ล้วนไม่ตรงกับสิ่งที่นักช้อปคาดหวังไว้
ทว่าอีกไม่นานเรื่องเหล่านี้จะหมดไป เพราะล่าสุดมีบริษัทสตาร์ทอัพหลายรายที่กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีที่จะมายกระดับการช้อปปิ้งออนไลน์อย่างจริงจัง หนึ่งในนั้นคือ 3DLook บริการวัดขนาดรูปร่างด้วยการสแกนจากโทรศัพท์มือถือ ที่ดึง AI และ Big Data เข้ามาช่วยวิเคราะห์สัดส่วนของมนุษย์จากภาพถ่ายให้มีความแม่นยำมากขึ้น
พร้อมกันนี้ทางแบรนด์ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘YourFit’ ที่จะช่วยเสริมบริการหลังบ้านกับบรรดาร้านแฟชั่น แนะนำไซส์ที่เหมาะสมจากการเรียนรู้ข้อมูลของลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสการลองเสื้อผ้าเสมือนจริงได้ แม้จะอยู่ที่บ้านก็ตาม
หนึ่งในบริษัทที่เป็นพาร์ตเนอร์กับ 3DLook อย่าง 1822 Denim แบรนด์กางเกงยีนส์สำหรับผู้หญิง ออกมาเผยว่า หลังจากที่แบรนด์ใช้บริการเทคโนโลยีลองเสื้อผ้าเสมือนจริงกับ 3DLook แล้ว ทำให้ยอดการคืนสินค้าลดลงประมาณ 48% และมูลค่าการสั่งเฉลี่ยซื้อเพิ่มขึ้นถึง 23%
Tanya Zrebiec ประธานบริษัทยังเสริมอีกว่า การใช้เทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยทำให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลของลูกค้ามากยิ่งขึ้น เข้าใจไซส์ที่พอดีกับความต้องการลูกค้า ทำให้จัดการระบบคลังสินค้าให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ตัดปัญหาการตุนสินค้าที่เยอะเกินไป
อีกแบรนด์ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Walmart ที่ออกมาให้การสนับสนุนนวัตกรรมห้องลองเสื้อเสมือนจริง (Virtual Fitting-Room) ได้ประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทกำลังเข้าซื้อกิจการ Zeekit สตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอล ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถลองสวมเสื้อผ้าได้ในขณะที่ช้อปปิ้งออนไลน์ ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อกำหนดและเงื่อนไขแต่อย่างใด
บริการของ Zeeki tจะช่วยขยายขีดจำกัดการช้อปออนไลน์ ในเว็บไซต์ของ Walmart โดยที่ลูกค้าสามารถเลือกที่จะอัปโหลดภาพของตัวเองหรือนางแบบที่คล้ายกับตัวเองลงไป แล้วระบบก็จะทำการลองให้ดูว่าเสื้อผ้าที่เราเลือกนั้น เมื่อมาลองอยู่บนรูปภาพเราจะเป็นอย่างไร ซึ่งลูกค้ายังสามารถแชร์การลองเสื้อผ้าเสมือนจริงนี้ให้กับเพื่อนๆ ได้เพื่อเป็นการถามความคิดเห็น
Zeekit เปิดเผยว่า เทคโนโลยี Virtual Fitting-Room ของตัวเองสามารถลดยอดการคืนสินค้าได้ถึง 36% จากการให้บริการลูกค้ารายก่อนหน้าอย่างห้างสรรพสินค้า Macy’s และแบรนด์รองเท้า Adidas
อย่างไรก็ดี การที่ผู้คนเริ่มหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีสร้างโลกเสมือน Augmented Reality (AR) มาใช้ในการลองเสื้อผ้าถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมความงามได้เริ่มใช้งานมาก่อนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น Google เปิดตัว AR Beauty Try-On เมื่อปีที่แล้ว ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถลองเครื่องสำอางผ่านเทคโนโลยีโดยมีแบรนด์ดังๆ อย่าง L’Oreal, MAC Cosmetics และ Charlotte Tilbury ร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ด้วย
อ้างอิง: