ท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนเร็ว โครงสร้างธุรกิจมีความซับซ้อนขึ้น ส่งผลให้การเติบโตของธุรกิจครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเพิ่มยอดขาย หรือขยายกิจการจากภายในเท่านั้น แต่เจ้าของธุรกิจครอบครัวยังต้องมองหาโอกาสจากภายนอกและใช้โอกาสนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจของตนเอง ในตอนสุดท้ายของบทความทางรอดธุรกิจครอบครัวนี้ ผู้เขียนจะพูดถึงกุญแจดอกสุดท้ายที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเกิดการเติบโตที่ก้าวกระโดดและยั่งยืน ซึ่งก็คือการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A)
M&A ดีกับธุรกิจครอบครัวอย่างไร
ผู้เขียนขอหยิบยกผลสำรวจความเห็นของซีอีโอทั่วโลกโดยเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนลในปีที่ผ่านมา พบว่า ซีอีโอบริษัทเอกชนถึง 46 เปอร์เซ็นต์มองว่ากิจกรรม M&A เป็นกลยุทธ์สำคัญที่สุดในการสร้างการเติบโตในช่วงสามปีข้างหน้า รายงาน Global Family Business Report 2025 ก็ยืนยันข้อมูลในทิศทางเดียวกันว่าธุรกิจครอบครัวที่ดำเนินกิจกรรม M&A มีผลประกอบการเฉลี่ยสูงกว่าธุรกิจที่ไม่ทำถึง 14 เปอร์เซ็นต์ โดยกิจกรรม M&A สามารถช่วยธุรกิจครอบครัวได้ดังนี้
1. ปลดล็อกศักยภาพการเติบโต การเข้าซื้อกิจการช่วยให้ธุรกิจขยายตัวได้เร็วขึ้น ทั้งในแง่ของตลาดใหม่ และการเพิ่มความทันสมัย (modernization) และการต่อยอดทรัพยากรที่มีอยู่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ธุรกิจครอบครัวหลายแห่งมองหาโอกาสในการนำเทคโนโลยีหรือระบบดิจิทัลมาใช้เพิ่มขึ้น การระดมทุนจากภายนอกจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดผลกำไรอย่างยั่งยืน
3. เสริมความพร้อมในการส่งต่อธุรกิจ หนึ่งในอุปสรรคของการสืบทอด คือการขาดเงินทุนสำรองที่จะช่วยให้ผู้นำธุรกิจรุ่นปัจจุบันวางมืออย่างมั่นใจ เพื่อเปิดทางให้สมาชิกครอบครัวรุ่นถัดไปก้าวขึ้นมารับช่วงต่อ M&A เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้จริงและมีความมั่นคง
บทความที่เกี่ยวข้อง:
- ทางรอดธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 1: บรรษัทภิบาลรากฐานเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
- ทางรอดธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 2: ความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนการเติบโต
องค์ประกอบของ M&A ที่ประสบความสำเร็จ
จากประสบการณ์ของผู้เขียน การทำ M&A ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจครอบครัวที่ต้องรักษาทั้งผลประโยชน์ทางธุรกิจและคุณค่าของครอบครัวไปพร้อมกัน ความสำเร็จของ M&A จึงขึ้นอยู่กับการวางแผนที่รอบด้าน และการเลือกพาร์ตเนอร์ที่มีค่านิยมหลักและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน โดยธุรกิจครอบครัวที่สามารถใช้ กิจกรรม M&A ขับเคลื่อนการเติบโตได้สำเร็จมักมีองค์ประกอบร่วมกันดังนี้:
- มีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการร่วมลงทุนกับกองทุนไพรเวทอิควิตี้ (Private Equity: PE) ทั้งสองฝ่ายควรมีแนวทางการเติบโต และแผนการสืบทอดธุรกิจที่สอดประสานกัน
- มีการวางแผนอย่างรอบคอบ ต้องพิจารณาคุณลักษณะและความต้องการของผู้ร่วมทุนอย่างละเอียด
- มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการบางส่วน การลงทุนเพื่อการเติบโต หรือการปรับโครงสร้างทุน การเปิดทางเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของธุรกิจครอบครัว จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อตัดสินใจทำ M&A แล้ว ก็ยังมีหลายประเด็นที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่:
- บทบาทของบอร์ดบริหารในการควบคุมกระบวนการมีส่วนร่วม (engagement) การที่บอร์ดบริหารมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอนจะช่วยให้ครอบครัว เจ้าของธุรกิจ และทีมบริหารเข้าใจตรงกัน และตัดสินใจได้โดยมีเป้าหมายร่วมกัน
- การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการศึกษาประวัติและกลยุทธ์การลงทุนในอดีตของพาร์ตเนอร์จากกองทุน PE เพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกัน
- การทำสัญญาที่ชัดเจน ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่าย กลไกการตัดสินใจ ตัวชี้วัดผลสำเร็จ การกำกับดูแล และกลยุทธ์การออกจากธุรกิจ (Exit Strategy) ไว้อย่างโปร่งใส
- การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและโปร่งใส การประชุมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นประจำจะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถติดตามความคืบหน้าและปัญหาที่อาจเกิดได้อย่างทันท่วงที
- และสุดท้าย การบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างสมดุล การใช้เงินทุนอย่างระมัดระวัง โดยไม่ก่อหนี้เกินจำเป็น และการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของกองทุน PE ในด้านกลยุทธ์และการเงิน ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้โดยไม่ลดทอนเสถียรภาพทางการเงิน
กุญแจสามดอก สู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
สุดท้ายนี้ คำถามสำคัญที่ผู้เขียนอยากชวนทุกท่านคิดจึงไม่ใช่แค่ “ธุรกิจเติบโตแค่ไหน” แต่คือ “ธุรกิจเติบโตอย่างไร และส่งต่ออะไรให้รุ่นต่อไป” ความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวไม่ได้เกิดจากกลยุทธ์ใดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยบรรษัทภิบาลที่ดี การดำเนินงานด้านความยั่งยืน และการเติบโตผ่าน M&A ทั้งสามเรื่องนี้เชื่อมโยงกัน – บอร์ดที่เข้มแข็งทำให้ M&A มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ ESG ช่วยคัดกรองพาร์ตเนอร์และชี้วัดความสำเร็จระยะยาว หากสามารถผสานทั้งสามเรื่องนี้เข้าด้วยกันได้ ความสำเร็จอย่างยั่งยืนก็จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ธุรกิจอาจเริ่มต้นได้จากการนำแนวทางทั้งสามด้านมาทบทวนและประเมินตนเอง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ภาพ: John M Lund Photography Inc / Getty Images


