หากเอ่ยถึงตลาด หุ้นเวียดนาม เมื่อหลายปีก่อน เชื่อว่าผู้ลงทุนหลายคนน่าจะมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นประเทศนี้ไม่มากก็น้อย และเชื่อว่าหลายคนล้วนยอมรับฉายา ‘ตลาดหุ้นดาวรุ่ง’ ที่ตลาดหุ้นเวียดนามเคยครอบครองเป็นแน่
ทว่าสถานการณ์ปี 2565 ที่ผ่านมา ฉายาตลาดหุ้นดาวรุ่งนั้นห่างไกลจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาดเวียดนามอย่างมาก โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (Year to Date ถึงเดือนตุลาคม) ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) ให้ผลตอบแทนติดลบที่ -29.4% ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลงที่หนักมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก เช่น อเมริกา S&P500 -23.1%, จีน CSI300 -24%, เกาหลีใต้ KOSPI -25.5%, ไต้หวัน TWSE -28.9%, และ ฮ่องกง Hang Seng -30.4% เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ไขคำตอบ ทำไม หุ้นเวียดนาม ดิ่งเกือบจะหนักสุดของโลก ล้างภาพดาวรุ่งแห่งเอเชีย
- ต่างชาติแห่ปักหมุด ลงทุนเวียดนาม ยอด FDI พุ่งแซงไทยแบบไม่เห็นฝุ่น สัญญาณบ่งชี้ ไทยเริ่มไร้เสน่ห์?
- เปิดจุดเด่น เวียดนาม หลังจ่อขึ้นแท่นประเทศที่คว้าชัยในยุค Deglobalization
เมื่อประเมินถึงสาเหตุที่ตลาด หุ้นเวียดนาม ปรับลดลงอย่างหนักพบว่า เป็นสาเหตุเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งก็คือปัญหาเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงในรอบหลายสิบปี ความเสี่ยงการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่นักเศรษฐศาสตร์และสำนักวิจัยทั่วโลกหยิบมาพูดถึงบ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ส่งผลต่อเนื่องสู่ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น นำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและนโยบายลดสภาพคล่องของธนาคารกลางทั่วโลก
และหากประเมินจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศทั่วโลกก็จะพบว่า ประเทศเวียดนามนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตัวเลขเศรษฐกิจปี 2565 สะท้อนการฟื้นตัวที่ดีในหลายภาคส่วน โดยเวียดนามกำลังก้าวข้ามผ่านวิกฤตโควิดอย่างสมบูรณ์ กำลังเปิดประเทศรับเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก กำลังเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และที่สำคัญตลาดหุ้นเวียดนามกำลังปรับฐานผ่านรอบย่อจนกระทั่ง Valuation ไม่แพงแล้ว
ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่กำลังกลับเข้าสู่ทิศทางขาขึ้น บวกกับการย่อตัวลงของดัชนีที่ลึกลงมาสู่ระดับที่น่าสนใจอย่างมีนัยสำคัญ THE STANDARD WEALTH จึงรวบรวมปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจของเวียดนาม ซึ่งจะส่งอานิสงส์ไปยังตลาดหุ้น ดังนี้
-
โครงสร้างเศรษฐกิจเอื้อต่อการเติบโต
เวียดนามเป็นประเทศที่มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจมากประเทศหนึ่งของโลก มีภาคการผลิตและภาคส่งออกเป็นพระเอก ภาคบริการกำลังเติบโต ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 97 ล้านคน และโครงสร้างประชากรวัยทำงานและวัยหนุ่มสาวในสัดส่วนสูง โดยล่าสุด IMF ประมาณการการเติบโตของประเทศเวียดนามไว้สูงถึง 6-7% ทั้งปี 2565 และปี 2566 ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงในภาวะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้มีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบต่างๆ รอบตัว ในขณะที่ประเทศเวียดนามยังคงมีมุมมองการเติบโตระยะยาวที่ดีได้อยู่
-
GDP ขยายตัวในโมเมนตัมเชิงบวก
ภาพรวมของเศรษฐกิจเวียดนามยังคงฟื้นตัวจากโควิดได้ดีอย่างต่อเนื่อง GDP ของเวียดนามยังคงมีโมเมนตัมที่ฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/65 GDP ขยายตัวได้ 5%, ไตรมาส 2/65 GDP ขยายตัวได้ 7.7% และไตรมาส 3/65 GDP ขยายตัวสูงถึง 13.7%
-
การส่งออกแข็งแกร่ง-เงิน FDI ไหลเข้า
ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง เป็นหัวใจสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศเวียดนาม ผลพวงจากเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติและเทคโนโลยี คาดการณ์ว่าการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) จะไหลเข้าสู่ภาคการผลิตอย่างต่อเนื่อง และเป็นประเทศที่ได้รับผลดีจาก Trade War และการลดการพึ่งพาจีนจากสายการผลิตซัพพลายเชนของผู้ผลิตระดับโลก
-
ท่องเที่ยวและบริการฟื้นตัวก้าวกระโดด
ภาคบริการกำลังขยายตัวได้ดี ตัวเลขทางเศรษฐกิจของเวียดนามทั้งการบริโภคในประเทศ อัตราการเติบโตของยอดค้าปลีก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ล้วนแสดงในทิศทางเดียวกันว่าภาคบริการก็กำลังเติบโตและฟื้นตัวจากช่วงโควิดอย่างแข็งแรง
ขณะที่ความเสี่ยงที่ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลง จนทำให้หลายคนกังวลนั้น เกินครึ่งเป็นปัจจัยเฉพาะถิ่นและเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลา ดังนี้
-
ภาครัฐเวียดนามตรวจสอบเข้มข้น
ทางการเวียดนามเริ่มตรวจสอบตลาดหุ้น ตลาดหุ้นกู้ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ นำไปสู่การจับกุมนักธุรกิจหลายรายที่มีการฝ่าฝืนกฎระเบียบ ตลอดจนการอายัดทรัพย์สินของประธานบริษัทและผู้บริหารไปหลายราย ด้วยข้อหาปั่นหุ้น ข้อหาออกหุ้นกู้โดยนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ขณะเดียวกันทางการเวียดนามยกระดับความเข้มงวดของนโยบายการออกหุ้นกู้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ จึงกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นและตลาดหุ้นกู้
-
นักลงทุนรายย่อยสูญเสียความเชื่อมั่นระยะสั้น
ผลกระทบจากการที่ภาครัฐตรวจสอบเข้มข้นก่อให้เกิดข่าวลือลามไปสู่บริษัทอื่นๆ ว่าอาจถูกสอบสวนด้วยคดีในลักษณะเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยที่มีสัดส่วนกว่า 90% ของตลาดหุ้น ขาดความเชื่อมั่น จึงขายหุ้นออกมา
-
ธนาคารกลางเวียดนามขึ้นดอกเบี้ยแรง
ธนาคารกลางเวียดนามขึ้นดอกเบี้ยสูงถึง 1% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศเวียดนามสูงถึง 6-8% ส่วนฝั่งอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนบางแห่งก็สูงเกิน 10% ซึ่งเป็นการซ้ำเติมตลาดทุนที่นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย จึงเกิดแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักและโยกเงินมาฝากธนาคารแทน
-
ภาครัฐเวียดนามเข้มเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออสังหา
มีการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในตลาดตราสารหนี้ ทำให้ออกหุ้นกู้ยากขึ้น ส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงถูกเทขายออกมา ซึ่งเป็น 2 กลุ่มที่มี Market Cap รวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดหุ้นเวียดนาม
-
ผิดหวังจากการขยับชั้นสู่ EM
หนึ่งในความคาดหวังที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะได้ปรับขึ้นเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งจะเพิ่มโอกาสรับเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันต่างชาติได้อีกมาก แต่การปรับระดับยังคงไม่เกิดขึ้น โดย FTSE RUSSELL ยังคงระดับตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดชายขอบ (Frontier Market) ด้วยเหตุผลว่า ตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่ผ่านคุณสมบัติด้านระบบการชำระราคาและยังมีปัญหาด้าน Foreign Limited
เมื่อพิจารณาทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าจะเห็นตรงกันก็คือ ความเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นความเสี่ยงระยะสั้น แต่ปัจจัยบวกเป็นเรื่องระยะยาว ซึ่งในจังหวะที่ VN Index ร่วงลงกว่า 30% จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมกับการทยอยสะสมการลงทุนในหุ้นเวียดนามเพื่อรับผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งการลงทุนผ่านกองทุน SSF และ RMF จัดว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ลงตัวที่สุดในจังหวะนี้
รู้จักกองทุน SCBVIET-SSF และ SCBRMVIET
กองทุน SCBVIET-SSF และ SCBRMVIET เป็นกองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศเวียดนาม และ/หรือบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องหรือได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และ/หรือหน่วย CIS กองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนามโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
กองทุนใช้กลยุทธ์การลงทุนด้วยการจัดการพอร์ตแบบสมดุล จากการจัดสรรเงินลงทุนแบ่งเป็น 3 ส่วน ใน ETF, Active Fund, และหุ้นรายตัว เพื่อหาผลตอบแทนในทุกสถานการณ์ในระยะยาว ตัวอย่างการลงทุน ได้แก่
- ETF เช่น Diamond ETF, VN30 ETF, และ Vietnam Leading Financial ETF
- Active Fund เช่น Vietnam Equity Fund ของ Dragon Capital
- หุ้นเวียดนามรายตัวที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น Vietcom Bank ธนาคารเวียดนามที่ใหญ่ที่สุดตามมูลค่าตลาด มีผู้ถือหุ้นเป็นรัฐบาล และมีสาขามากที่สุด, VINHOMES บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และเป็นบริษัทในเครือ Vingroup มีผลประกอบการเติบโตชัดเจน, PNJ ผู้นำธุรกิจเครื่องประดับ มี Market Share สูงถึง 38% มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจและรายได้ของประชากรเวียดนามที่สูงขึ้น คนให้ความสนใจซื้อเครื่องประดับมากขึ้น
นอกจากนี้กองทุนยังเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์โดยจัดพอร์ตให้มี Liquidity เพียงพอ เนื่องจากตลาดเวียดนามเป็น Frontier Market
ความแตกต่างระหว่าง SCBVIET-SSF และ SCBRMVIET
กล่าวได้ว่าทั้งสองกองทุนมี Underlying Asset เป็นการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเหมือนกันและเป็นกองทุนประหยัดภาษีเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือระยะเวลาในการถือครองของผู้ลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ
โดยผู้ลงทุนที่อายุน้อยกว่า 45 ปี การลงทุนใน SCBVIET-SSF จะคุ้มค่ามากกว่า โดยสามารถถือกองสั้นกว่า เพราะใช้เวลาถือครองราว 10 ปีก็สามารถขายกองทุนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขทางภาษี
และสำหรับผู้ลงทุนอายุมากกว่า 45 ปี การลงทุนใน SCBRMVIET จะเหมาะกว่า โดยจะถือกองสั้นกว่า เพราะใช้เวลาถือครองน้อยกว่า 10 ปีก็สามารถขายกองทุนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขทางภาษี
ทั้งนี้ สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ผลตอบแทนและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนใน SCBVIET-SSF หรือ SCBRMVIET เพราะเป็นการต่อยอดการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ และเป็นการจัดสรรเงินไว้ในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในระยะยาว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
- SCBVIET-SSF https://www.scbam.com/th/fund/ssf/fund-information/scbvietssf
- SCBRMVIET https://www.scbam.com/fund/tax-rmf/fund-information/scbrmvieta
คำเตือน:
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF/SSF ก่อนตัดสินใจลงทุน
- กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุนบางกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนรวมถึงบางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ดังนั้นควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าวได้ รวมทั้งสามารถศึกษาข้อมูลกองทุนหลักได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมและรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุนผ่าน SCB EASY App