×

สมาคมฟุตบอลฯ vs. สยามกีฬา ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดจบ

07.03.2025
  • LOADING...
fa-vs-siamsport-history

เมื่อวานนี้ (6 มีนาคม) ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่มีการฟ้องเรื่องลิขสิทธิ์ สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ละเมิด การเผยแพร่การแข่งขันฟุตบอล ที่สยามสปอร์ตฟ้องร้องสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยฯ ในกรณีที่สมาคมลูกหนัง โดยการนำของ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยกเลิกสัญญาบริหารสิทธิประโยชน์ของสยามสปอร์ตอย่างไม่เป็นธรรม

 

เรื่องนี้เป็นคดีความกันมาอย่างยาวนาน โดยต้องย้อนไปสมัยที่สยามสปอร์ตได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในสมัย วรวีร์ มะกูดี เป็นนายกสมาคมฯ ให้เป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ตั้งแต่ปี 2556-2565 

 

แต่หลังจากนั้นในปี 2559 เมื่อ พล.ต.อ. สมยศ ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้มีการสั่งยกเลิกสัญญาการบริหารสิทธิประโยชน์สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่สยามสปอร์ตได้รับการแต่งตั้ง โดยทาง พล.ต.อ. สมยศ นายกสมาคมฯ ในตอนนั้นให้เหตุผลว่า สัญญามีความผูกขาด บาง

ส่วนไม่ชัดเจน ไม่เป็นธรรมต่อสมาคมฯ

 

นั่นทำให้ทั้งสองฝ่าย ต่างฟ้องอีกฝ่ายโดยเรียกค่าเสียหายที่ต่างกรรมต่างวาระต่อกันและกัน

 

โดยในตอนแรกคดีจะแบ่งเป็น 2 คดี คือ คดีแรก บจก.ซีนิแพล็กซ์ (บริษัทในเครือของผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก) ยื่นฟ้อง บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (ผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการถ่ายทอดเสียงและภาพการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ ที่จัดโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์) และคดีที่ 2 คือคดีที่บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กับพวกรวม 20 คน เรื่องลิขสิทธิ์ สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ละเมิด ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

 

ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางซึ่งเป็นศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน

 

ในยกแรก ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 โดยพิพากษาให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่สยามสปอร์ตจำนวน 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง และให้สยามสปอร์ตคืนเงินจำนวน 240 ล้านบาท แก่บริษัท ซีนีเพล็กซ์ จำกัด จำเลยที่ 20 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559

 

บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ในฐานะโจทก์ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 

 

ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่บริษัทสยามสปอร์ตจำนวน 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (27 มิถุนายน 2560) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ย 5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

 

และให้ บมจ.สยามสปอร์ต โจทก์ชำระเงิน 240 ล้านบาทแก่ บจก.ซีนิแพล็กซ์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 20 แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี 

 

แต่เรื่องก็ไม่จบแค่นั้น หลัง บมจ.สยามสปอร์ต โจทก์ และสมาคมกีฬาฟุตบอล จำเลยที่ 1 มีการยื่นฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

 

ทำให้ล่าสุดเมื่อวานนี้ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่ บมจ.สยามสปอร์ตฯ โจทก์เป็นเงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ 

 

นั่นทำให้คดีที่ยืดเยื้อมายาวนานเกือบศตวรรษ จบลงเป็นที่เรียบร้อย และผลที่เกิดขึ้น คือการที่สมาคมฟุตบอลฯ ต้องออกควักเงินมหาศาลจ่ายให้กับ สยามสปอร์ตฯ

 

แม้คดีนี้จะถึงที่สิ้นสุด แต่ความเสียหายกำลังจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ต้องอย่าลืมว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมาคมฟุตบอลต้องเจอกับปัญหาทางการเงินอย่างหนัก และสถานการณ์เพิ่งจะคลี่คลายเมื่อไม่นานมานี้

 

แต่การถูกศาลตัดสินให้ชดใช้เงินจำนวนมหาศาลถึง 360 ล้านบาท อาจจะทำให้สมาคมฯ ต้องเจอกับภาวะสภาพคล่องอีกครั้ง และนั่นอาจจะส่งผลถึงนักเตะที่ทำงานในสนามด้วย

 

ซึ่งตรงนี้อาจจะเสียหายกว่าเรื่องของตัวเงินจริงๆ ก็เป็นได้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising