แม้จะมีคนพูดไปแล้วหลายครั้ง แต่เรา (ที่ฟังไปแค่พาร์ตแรก) ก็ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงยืนยันอีกครั้งว่า Into The New Era ของ กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ คือหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดในปีนี้ หรือยิ่งไปกว่านั้น นี่คืองานอันยอดเยี่ยมที่ผู้คนจะจดจำในระดับตำนานนับจากนี้
คำแนะนำอย่างแรกสำหรับคนที่ยังไม่ได้ฟังมาก่อน เราขอให้ไล่ฟังทุกเพลงแบบไม่กดข้าม เพราะกอล์ฟได้บรรจงจัดวางและเรียงลำดับเพลงทั้งหมดเอาไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนตามหน้าที่ที่ ‘อัลบั้ม’ หนึ่งควรจะเป็น
เนื่องจากพาร์ต Into คืออัลบั้มที่บันทึกทุกอารมณ์ของชีวิตเอาไว้แบบอัดแน่น ข้นคลั่ก เราเชื่อว่าสิ่งที่ได้หลังจากฟังพาร์ตนี้จะแตกออกเป็นหลายทาง ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ประสบการณ์ และความรู้สึก ณ ขณะนั้นของแต่ละคน
ถ้าฟังพาร์ตนี้ในช่วงชีวิตกำลังเซไปเซมาแบบไล่ไปทีละเพลงต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงนิดๆ จะให้อารมณ์เหมือนถูกกอล์ฟกระโดดถีบยอดอกลงไปนอนกองที่พื้น กระทืบซ้ำจนได้สติ แล้วค่อยๆ ฉุดให้ลุกขึ้น ช่วยปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกง โอบไหล่ ปลอบใจ บอกว่าเขาผ่านเรื่องพวกนี้มาหมดแล้ว และสักวันหนึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตเราก็จะผ่านพ้นไปเช่นกัน
และทำให้เรานึกถึงตอนหนึ่งในซีรีส์ Game of Thrones ว่าจริงๆ แล้ว The King in the North อาจจะไม่ใช่คนแบบ จอน สโนว์ ที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่เป็น ‘ฟัก’ ลูกกลมๆ ที่ ‘กลิ้ง’ ลงมาจากดอย จนกลายเป็น ‘ฮีโร่’ ที่รับรู้ความเป็นไปของชีวิต ของโลก ของสรรพสิ่ง แล้วตกตะกอนออกมาเป็นงานศิลปะได้อย่างสวยงาม
ตอนนี้ขอเก็บพาร์ต The New Era ไว้ฟังทีหลัง เพราะยังอยากโดนกระโดดถีบและกระทืบซ้ำให้สาแก่ใจอีกสักนิด ก่อนที่จะโดดเข้าไปสู่พาร์ตแห่ง ‘ยุคสมัยใหม่’ ของ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ในเวลาต่อไป
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือภาษาไทยไม่ใช่ภาษาสากลที่คนเข้าใจได้ทั้งโลก ทำให้เราไม่มีโอกาสประกาศให้วงการเพลงทั้งโลกได้รับรู้ว่า มี ‘แรปเปอร์’ ที่ชื่อ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ สร้างสรรค์ผลงานเพลงระดับมาสเตอร์พีซออกมาได้จากการใช้ชีวิตอยู่ในดินแดน ‘สารขัณฑ์’ แห่งนี้
Respect!
1. FHERO Ft. Ohm Cocktail
กอล์ฟเลือกใช้เพลงนี้เปิดอัลบั้มเพื่อแนะนำตัวด้วยการบอกให้ทุกคนลืมภาพบางอย่างที่ติดตัวมา และโปรดจดจำเขาเอาไว้ในแบบที่เขาเป็น เล่าเรื่องผ่านเสียงเพลงและภาพมิวสิกวิดีโอในห้องพิพากษาที่กอล์ฟเป็นผู้ต้องหา และมี โอม (ปัณฑพล ประสารราชกิจ) เป็นทนายช่วยว่าความ ที่ต้องบอกว่าเป็นมิวสิกวิดีโอที่เข้ากับบริบทและเนื้อเพลงที่เขาต้องการจะสื่อออกมาได้ดีจริงๆ
ไม่ว่าคุณจะเคยจดจำเขาในแบบไหน เป็นโค้ชรายการแรป เป็นนักแสดงตลก เป็นแรปเปอร์รุ่นใหญ่ เป็นคนทำเพลง เป็นเจ้าพ่อฟีเจอริง เป็นคนขายหม่าล่า เป็นสามีและคุณพ่อที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เป็นชายคนหนึ่งที่กำลังทำในสิ่งที่เขารัก
เพลงนี้คือเพลงที่ยืนยันว่าเขาคือแรปเปอร์ตั้งแต่เกิดจนตัวตาย คือชายที่จะใช้ไมโครโฟนเปลี่ยนโลก คือดินที่ ‘เฮียโจ้’ ปั้นและสักวันจะกลายเป็นดาว คือคนที่ยอมให้คนเกลียดในสิ่งที่เป็นจริงๆ มากกว่ารักในตัวตนที่เขาปลอม
เพลงที่บอกว่าทุกคนจะต้องจำบทเพลงที่มีชื่อของเขาสลักอยู่ด้านหน้า ไม่ใช่แค่ด้านหลังคำว่า ‘ฟีเจอริง’ อีกต่อไป (อ่านบทความที่เราเขียนถึงเพลง FHERO แบบเต็มๆ ได้ที่ thestandard.co/f-hero/)
2. You Don’t Know What I’ve Been Through Ft. KH (Prod. By KH)
ต่อเนื่องจากเพลง FHERO กอล์ฟเลือกขยายตัวตนมากกว่าการบอกว่าเขาคือใคร ด้วยการฉายภาพให้รู้ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ตัวเขาต้อง ‘ผ่าน’ อะไรมาบ้างอย่างละเอียดยิบ
ตั้งแต่อ่านหนังสือไปกี่เล่ม กินยาแก้ปวดไปกี่เม็ด หมดปากกาไปกี่ด้าม ฉีกกระดาษไปกี่แผ่น ถูกคนดูไล่ให้ไปตกปลา อยู่กับคำเหยียดหยาม บางครั้งก็ฝืนยิ้มร่าเริง บางครั้งก็หลบไปซ่อน บางครั้งก็อยากกระโดดลงมาจากตึกสูง 10 ชั้น มีเพียงความศรัทธา หน้าที่ ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าบ้านของคนในครอบครัวและอีกหลายชีวิตที่เขาต้องดูแล ที่ทำให้เขาอดทนฝ่ามรสุมแห่งชีวิตมาได้ถึง 37 ฝน
เนื้อเพลงและดนตรีเต็มไปด้วยความกดดัน หนักหน่วง แต่ได้น้ำเสียงฟังสบายของ ขันเงิน เนื้อนวล แห่งวง Thaitanium มาเบรกกราฟอารมณ์ของเพลงที่กำลังพุ่งขึ้นสูงด้วยความรู้สึกของคนที่ตกตะกอนและคลี่คลายเหตุการณ์หลายๆ อย่างในชีวิตได้อย่างลงตัว
3. คาด-ตะ-กอน (Expecutioner) (Prod. By P8D)
เป็นอีกหนึ่งเพลงที่กอล์ฟใช้วิธีการเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาด เปรียบเทียบความคาดหวังเป็นเหมือนฆาตกรที่คอยดักซุ่มทำลายชีวิตและจิตใจเราอยู่ในมุมมืด เวิร์สแรกพูดถึงความคาดหวังในความรักที่ดูเหมือนไม่หนักมาก แต่ก็เต็มไปด้วยไรม์คมๆ โดยเฉพาะท่อน
“คดีนี้รักเป็นแค่พยาน มีมึงเป็นเหยื่อ ความจริงเป็นตุลาการ มันคือยาเบื่อ ฆ่าทิ้งแล้วอันตรธาน มันคือความคาดหวังที่ใจเราสร้าง เราดลบันดาลเอง”
ก่อนเข้าสู่เวิร์สสองที่เข้มข้นขึ้น บอกว่าความคาดหวังคือฆาตกรที่พรากเด็กหนุ่มช่างฝันในวัยเด็กที่ “เริ่มต้นเดินทางตั้งแต่ตัวเลขซีโร่ เริ่มเก็บเลเวล ค่อยๆ มีเกราะ มีโล่” และกลายเป็นคนกระหายเลือดเมื่อรู้จักเพื่อนที่ชื่อ ‘อีโก้’
และมาคลี่คลายด้วยเวิร์สสามที่เราชอบมากๆ ตั้งแต่การบอกว่ารอดจากความหวังเพราะคิดถึงพ่อแม่ ต่อสู้ด้วยการปลงอนิจจังและให้อภัย และจบด้วยความจริงแบบโลกไม่สวย เพราะเข้าใจว่าแม้จะทำได้ในระดับหนึ่ง สุดท้าย ‘ความคาดหวัง’ ก็จะกลับมาจัดการกับเราต่ออยู่ดี
ความน่าสนใจอีกหนึ่งอย่างคือ คาด-ตะ-กอน เป็นเพลงเดียวที่กอล์ฟร้องทั้งท่อนแรปและท่อนฮุกเองทั้งหมดแบบไม่มีคนมาฟีเจอริง และยังได้ P8d หรือนุ้ย P9d ที่เคยอยู่ในวัยเกรี้ยวกราดจนถูกหลายคนตั้งคำถาม และกอล์ฟเองก็เคยออกมาปรามด้วยความเป็นห่วงมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ในวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป แสดงให้เห็นถึงการเติบโตในลักษณะคลี่คลายและเต็มไปด้วยความสบายใจของแรปเปอร์รุ่นน้องคนนี้ได้เป็นอย่างดี
4. A Better Tomorrow Ft. Amp, Chitswift, Repaze (Prod. By Chatchon Sol)
ต่อเนื่องจากการต่อสู้กับความคาดหวังของตัวเองมาสู่การต่อสู้กับ ‘คำพูด’ มากมายจากเหล่า Hater ที่พุ่งเข้ามาใส่ แต่กอล์ฟเลือกที่จะต่อสู้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ประชดประชัน มากกว่าหักหาญให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แม้ในเพลงจะมีการสบถพ่นคำว่า ‘-uck you’ ออกมาเล็กน้อย แต่เป็นการชูนิ้วกลางที่ยียวนกวนประสาท รู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่าสมควรโกรธ
แล้วบอกว่าต่อให้ใครจะ ‘นิยาม’ เขาอย่างไรก็ไม่สำคัญ ตราบเท่าที่เขารู้ว่าตัวเองเป็นใคร และมีหน้าที่จับปากกา จับไมค์ พ่นไรม์ออกมาก็พอ ส่วนพาร์ตดุดัน เดือดดาล กอล์ฟยกให้กับแรปเปอร์รุ่นน้องทั้ง Chitswift และ Repaze ที่อยู่ในช่วงต้องต่อสู้พิสูจน์ตัวเองตามประสาคนหนุ่มสาวออกมาแสดงจุดยืนให้ทุกคนที่ประสบประมาทรู้ว่า
ทุกคนล้วนมีการต่อสู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง และชีวิตของพวกเขาก็ผ่านอะไรมามากเกินกว่าที่จะให้ใครมานิยามหรือกำหนดสิ่งที่ควรจะเป็นแทนพวกเขา โดยเฉพาะเก่ง Repaze ที่โชว์ทั้งสกิลการแรป ฟลิป โฟลว์ และคำคมๆ ไม่สนใครหน้าไหนได้อย่างเด็ดขาด สะใจ และคิดว่าอนาคตเขาต้องไปได้อีกไกลแน่นอน
5. Takin’ Over Ft. Twopee Southside (Prod. By Nino)
เพลงที่เดือดที่สุดในอัลบั้ม เดือดตั้งแต่ตอนต้นที่กอล์ฟถามว่า “ฮิปฮอปในประเทศนี้ใครครองวะ” แล้วโต้ง Twopee ตอบว่า “ก็พวกกูไง ไอ้เหี้ย”
เนื้อเพลงช่วงแรกเต็มไปด้วยความมั่นใจ อหังการ ที่กอล์ฟและโต้งตอบโต้พวกโค้ชคีย์บอร์ดที่ให้ Hate Speech เป็นอาวุธอย่างรุนแรงหนักหน่วงแบบไม่มียั้ง แสดงให้เห็นพลังงานพลุ่งพล่านของแรปเปอร์รุ่นใหญ่ที่ยังคุกรุ่นไม่ต่างจากช่วงที่ยังคึกคะนอง และพร้อมดึงออกมาใช้ได้ตลอดเวลา
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือแทนที่จะใช้กราฟอารมณ์ที่กำลังพุ่งขยี้อารมณ์สบถคำใส่เหล่า Hater ให้ถึงที่สุด แต่พวกเขาเลือกที่จะใช้เนื้อเพลงช่วงหลังเพื่อแสดงความเคารพต่อศิลปินฮิปฮอปทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
ตั้งแต่ อ.จู JUU4E, AA Crew, Joey Boy, KH, T.O.B, IG, UrboyTJ, ปู่จ๋าน ลองไมค์, P9d, Illslick, Rastafah, AZN, Rap Against Dictatorship, Rap is Now, Thaikoon, Already Deadd ไปจนถึงแรปเปอร์ทุกคนที่ยังทำเพลงอยู่ แม้จะไม่ทำเงินหรือไม่มีชื่อเสียงก็ตาม
กับอีกหนึ่งท่อนที่ทำให้แฟนคลับ ‘สิงห์เหนือเสือใต้’ ประทับใจมาก คือตอนที่โต้ง Twopee ร้องว่า “ผ่านมา 10 ปี วันนี้กูแรปกับสิงห์เหนือ กูรู้สึกเหมือน New เสือใต้ Shout out to Beeazy”
เป็นเพลงที่ใช้พลังงาน ความพลุ่งพล่าน พูดทุกอย่างที่อยากสื่อ และความเคารพทุกคนที่คิดถึงได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ
6. Half of It Ft. Annalè (Prod. By Lukell, Juan Cariza, Taalib Johnson, Trevon Trapper, Al Manerson)
สลับจากเพลงที่เต็มไปด้วยพลังงานมาเป็นโหมดเพลงฮิปฮอปอาร์แอนด์บีที่รวมโปรดิวเซอร์มืออาชีพระดับโลกเอาไว้เพียบ เนื้อเพลงยังคงพูดถึงปัญหาหนักๆ ในชีวิตที่มีเพียงคนที่ประสบปัญหาเหมือนกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจ แต่ด้วยดนตรีที่ฟังสบาย พร้อมกับเนื้อเพลงช่วงท้ายๆ ที่ให้ความรู้สึกคลี่คลาย ปล่อยวาง ราวกับบอกว่าพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับทุกสิ่งด้วยความเข้าใจที่มากขึ้นในบทเพลงต่อๆ ไป
และกอล์ฟก็ยังไม่ทิ้งลายความเป็น ‘นายแห่งถ้อยคำ’ ด้วยการแต่งไรม์คมๆ อย่าง
“กูตื่นเพราะไซเรน แล้วบอกตัวเองให้ใจเย็น กลับไปทำงานข้างในเลน แล้วค่อยไปพักข้างในเมรุ”
“ต้องมีสักอย่างที่มันดีขึ้น ไม่มีสิ่งใดแย่หมด มึงไม่อาจตัดสินหนังสือได้จากการมองแค่ปก เพราะกูอาจเป็นตรีโกณมิติในคราบสูตรคูณแม่หก”
“เก็บทุกความเจ็บปวดมาเป็นพลังคอยผลักดัน ข้างหน้ามีครกกับภูเขา และกูนี่แหละจะผลักมัน” ที่ทำให้เราอยากลุกขึ้นปรบมือให้เขาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้จริงๆ
7. Alarms (สวัสดีวันจันทร์) Ft. ปู พงษ์สิทธิ์ (Prod. By ธิติวัฒน์ รองทอง & Nino)
เพลงแรกในอัลบั้มที่ปล่อยออกมาเมื่อ 1 ปีก่อน และเป็นเพลงที่บอกได้ชัดเจนที่สุดว่าทุกสิ่งที่เขาทำ ทุกสิ่งที่เขาสู้นั้นเขาทำไปเพื่ออะไร โดยมีเสียงนาฬิกาปลุกที่น่ารำคาญ เสียงทรงพลังของ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และเสียงเล็กๆ ของน้องชูใจที่พูดว่า “ปะป๊า ตื่นได้แล้วค่ะ” ช่วยเสริมให้น้ำหนักการต่อสู้ของชีวิตหนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นเพลงที่มีลำดับการเล่าเรื่องไม่ซับซ้อน แต่เต็มไปด้วยความจริงอันแสนอึดอัดและน่ากลัว บางช่วงฟังแล้วก็รู้สึกฮึกเหิม ได้รับการปลุกใจ แต่บางช่วงก็ให้ความรู้สึกเศร้าว่าหลายครั้งชีวิตก็โหดร้ายกับเราเหลือเกิน
เริ่มต้นตั้งแต่เสียงนาฬิกาปลุกดังในตอนเช้า ตามมาด้วยกิจวัตรประจำวัน ความเจ็บปวด เลือดกำเดา กรดไหลย้อน ใบแจ้งหนี้ และความจำเป็นในชีวิต ความหนักหน่วงที่มากขึ้นตามแสงอาทิตย์ที่ไม่เคยอ่อนข้อ วนเวียนเป็นวัฏจักรที่เหล่า ‘วัวงาน’ ไม่อาจพักหรือหลีกหลบ เพราะรู้ดีว่าเรายังมีเวลาได้นอนเต็มๆ อีกครั้งใน ‘โลงศพ’ รออยู่
8. ใหญ่แล้วอดเอา Ft. สุนทรี เวชานนท์, MVL & ปู่จ๋าน ลองไมค์ (Prod. By MVL)
เพลงที่ทำให้เรารู้สึกอิจฉาชาวเหนือเป็นที่สุด เพราะมีเพียงคนที่เข้าใจภาษาคำเมืองแบบทะลุปรุโปร่งเท่านั้นที่จะเสพสุนทรียะและเข้าถึงแก่นแท้ศิลปินจากแดนเหนือทั้ง 4 คนขับร้องออกมาได้ดีที่สุด
โดยมีกอล์ฟ, เป้ วง Mild และปู๋จ๋าน ลองไมค์ เป็นตัวแทนของ ‘ละอ่อน’ ชาวเหนือที่เคยดื้อ ไม่ฟังคำที่แม่สอน กระทั่งวันที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา ผ่านชีวิต ผ่านผู้คน และเรื่องราวมากมาย จึงเข้าใจว่าคำสอนที่พวกเขาเคยมองว่าไร้สาระ แท้จริงแล้วมีค่ามากแค่ไหน
นอกจากพาร์ตแรปของกอล์ฟที่ทำได้ดีตามมาตรฐานอยู่แล้ว เราชอบที่ได้เห็นเป้ วง Mild ที่เราคุ้นเคยในการเป็นนักร้องและแรปเปอร์เพลงรักมาแรปถึง ‘ชีวิต’ แบบเข้มๆ ให้ฟังกันเต็มๆ โดยเล่นคำเกี่ยวกับอาหารในภาษาเหนือ ทั้งไส้อั่ว, จิ๊นหมู, พริกหนุ่ม, ก้านผักไผ่ ไปจนถึงแกงบะเขือส้ม ที่ตอนเด็กๆ เคยไม่ชอบ แต่รู้แล้วว่าดีเท่าไรแล้วที่ได้กิน เพราะในชีวิตสอนให้เขารู้ว่า ‘ดอกเบี้ย’ ในธนาคารเอามาทำแกงอะไรไม่ได้สักอย่างเลย
ส่วนปู่จ๋านก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเอกอุด้านการใช้ภาษาคำเมืองชนิดหาตัวจับยากได้อย่างยอดเยี่ยม รวมทั้งจังหวะจะโคนสนุกสนาน ผสมกับคำในท่อนที่เล่นคำกับคำว่า ผีเอาซ่อน, โปเกมอน, แม่ตบง่อน และรถเครื่องฮ่อน ที่ลงตัวแบบสุดๆ
อีกองค์ประกอบที่ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์ก็คือเสียงของ แม่แอ๊ด-สุนทรี เวชานนท์ ที่เราคุ้นเคยในเพลง ‘สาวเชียงใหม่’ ที่กอล์ฟเลือกใช้เป็นตัวแทนคำสอนและความปรารถนาดีของแม่ที่ดีให้กับลูกทุกคน โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า “ลูกหล้าใหญ่แล้วหื้ออดเอา” ที่ฟังแค่ครั้งเดียวก็ทำให้คิดถึงคำสอนที่แม่เคยให้ไว้และติดหูเราไปอีกนาน
9. ไม่จีรัง Ft. แอ๊ด คาราบาว (Prod. By ธิติวัฒน์ รองทอง & Nino)
ถ้ามองว่าพาร์ต Into ของกอล์ฟเป็นเพลงแรป ‘เพื่อชีวิต’ แล้วจะขาดคนที่เป็นเหมือน ‘สัญลักษณ์’ ของเพลงเพื่อชีวิตของไทยที่ชื่อ ยืนยง โอภากุล ไปได้อย่างไร
โดยเฉพาะในเพลงที่พูดถึงความ ‘ไม่จีรัง’ ของสิ่งต่างๆ ที่ย่อมเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา มีเพียง ‘ผลงาน’ และสิ่งที่ทำเท่านั้นที่จะยังคงอยู่ให้ผู้คนจดจำและพูดถึงเราต่อไป ตัวตนและน้ำเสียงที่ฟังจากดาวอังคารก็รู้ว่าใครเป็นคนร้องของ แอ๊ด คาบาราว คือจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์แบบที่สุด
เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เนื้อเพลงพูดถึง ‘ชีวิต’ ด้วยมุมมองที่เข้าใจและผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (เหมือนฟังคำแม่สอนจากเพลงที่แล้วก็คิดได้มากขึ้น) เข้าใจว่าชีวิตมีความเจ็บปวด แต่ก็เจ็บปวดได้ไม่นาน เข้าใจว่าไม่มีชัยชนะและความพ่ายแพ้ใดอยู่กับเราไปตลอด เข้าใจว่าชีวิตที่เหลืออยู่นั้นแสนสั้น สุดท้ายทุกคนจะจากไปตามกงเกวียนกำเกวียน เข้าใจว่าชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันคือสิ่งสวยงามที่สุด
เข้าใจว่า “โลกความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดจีรัง ค้ำฟ้าใด ไม่ต่างกับเธอฉัน ทุกสิ่งดีร้าย ล้วนก็ต้องจากไป เจ็บปวดสุขสันต์ แค่ตอนนี้เท่านั้น ตอนที่ยังหายใจ”
10. Fantasy Ft. Tattoo Colour (Prod. By Nino & Ruzzy)
พักจากเพลงชีวิตหนักๆ มาเป็นพาร์ตความรักสนุกสนาน ฟังสบาย ยียวนตามสไตล์ที่เราคุ้นเคยจากหลายๆ เพลงของฟักกลิ้ง ฮีโร่ และ Tattoo Colour เนื้อเพลงรวมๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากการพูดถึงความแฟนตาซีในโลกจินตนาการของคนรักที่มักจะผูกเรื่องราวใหญ่โตและคิดว่าเราคอยหาทางนอกใจไปมีคนใหม่อยู่เสมอ
ความน่าสนใจของเพลงนี้คือกอล์ฟไม่ได้แค่พาเราไปสำรวจจินตนาการของคนรัก แต่พาเรากระโจนเข้าไปสู่ความแฟนตาซีหลายๆ อย่าง มาผสมผสานจังหวะและคำคล้องจอง นำมาสร้างโลกที่เต็มไปด้วยป๊อปคัลเจอร์ที่เราคุ้นเคยได้อย่างสนุกสนานน่าเหลือเชื่อ
ลองคิดถึงเพลงที่จับเอา ไททานิก, นิยายฤทธิ์มีดสั้น, ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน, รองเท้าแก้วคริสตัลในซินเดอเรลลา, ณเดชณ์, ทมยันตี, นิทานลูกหมูสามตัว, ทีมพากย์พันธมิตร, ละครเล่ห์รักยาใจ, หนังของหว่อง กาไว, Sin City, คิทตี้, บิทชี่, โทนี่ จา, พริตตี้, หอคอยบาเบล, เพลงของอเดล และจักรวาลมาร์เวล มาไว้ในเพลงเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เราก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครทำแบบนี้ได้อีก
11. Leave Me Ft. Ink Waruntorn & NICECNX (Prod. By T-BIGGEST)
ต่อด้วยเพลงรักที่เต็มไปด้วยความเข้าใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าด้วยการบอกลาและให้คนรักตัดใจกับความรักที่ไม่มีทางไปต่อได้ เป็นเพลงที่มีท่อนแรปเพียงแค่ท่อนเดียว และให้น้ำหนักไปกับเสียงร้องใสๆ มีเสน่ห์ และดนตรีซินธ์ป๊อป แบบที่ถ้าไม่ดูเครดิตเพลง เราสามารถคิดได้เลยว่าเพลงนี้เป็นของอิ้งค์ที่มีกอล์ฟไปฟีเจอริงด้วยซ้ำ
ซึ่งต้องชื่นชมในความกล้าและยอมลดบทบาทของตัวเองให้อยู่ในพื้นที่จำกัดและจำเป็นกับเพลงจริงๆ ของกอล์ฟ เพราะการเปิดพื้นที่ให้อิ้งค์และ NICECNX ได้โชว์เสียงร้องและสไตล์ดนตรีของตัวเองแบบเต็มๆ คือเสน่ห์สำคัญที่ทำให้เพลงนี้กลายเป็น ‘ป๊อป’ ฟังสบายที่มีโอกาสฮิตติดหูคนได้ง่ายๆ
กอล์ฟเหมือนจอมยุทธบรรลุวิทยายุทธขั้นสูงสุดที่รู้ว่าเมื่อไรควรใช้พลัง เมื่อไรควรผ่อน และเขาก็ยังเฉียบขาดเมื่อถึงเวลาแสดงวรยุทธด้วยท่อนแรปที่ไม่ต้องเยอะ แต่คมคาย มีประโยคที่ว่า
“โบกมือลาแล้ว Goodbye บินไป เธอควรกลับสวรรค์อย่าหลงแดนดินใด ฉันแค่มีข้าวสารพอกรอกหม้อกินไป และความรักของเธอมีค่าเกินจะผูกข้อตีนใคร เรื่องปีนไปเด็ดดอกฟ้ามันแค่นิยายสามบาท เรื่องจริงคือดอกกุหลาบลำต้นมันมีหนามบาด เรื่องจริงคือฉันเข็ดหลาบกับรักที่หายไม่กลับมา และเรื่องจริงคือความรักแท้นั้นตัวฉันหมดศรัทธา”
เหมือนเป็นหลวงจีนหอไตรในเรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ที่เก็บตัวเงียบแล้วค่อยออกมาใช้วิชาจัดการกับปัญหาเมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ
12. อยู่ที่ใจ Ft. Wanyai แว่นใหญ่ (Prod. By Nino)
ต่อด้วยเพลงรักอีกหนึ่งเพลงที่โดดเด่นมากๆ ตั้งแต่เสียงของแว่นใหญ่ และท่อนฮุกฟังสบาย แต่ยากเหลือเกินที่จะหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว
“กลับไปแล้วต้องเสียใจ เริ่มต้นใหม่แต่เหงาและเดียวดาย อยู่ที่ใจเธอนั้นที่รู้ดี ไม่มีใครตอบเธอได้อย่างหวัง กลับไปเพื่อมีน้ำตา เริ่มต้นใหม่ไขว่คว้าหารักจริง อยู่ที่ใจเธอนั้นที่รู้ดี เลือกอะไรก็ขอให้เลือกเพื่อตัวเอง”
บอกเล่าในมุมมองของคนที่สามในฐานะ ‘ที่ปรึกษา’ ที่มักจะกลายเป็น ‘หมา’ อยู่เสมอ เมื่อมีเพื่อนเอาปัญหาหัวใจมาเล่าให้ฟัง เนื้อเพลงเต็มไปด้วยมุมมองที่เข้าใจคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักที่สับสนและไม่อาจหาทางออกได้ด้วยตัวเอง
พร้อมกับให้คำแนะนำอย่างตั้งใจ ไม่เบื่อหน่าย ไม่ตัดสินใจผิดถูก ค่อยๆ ให้คนฟังรับรู้ความปรารถนาดี มองเห็นความรักในแบบที่ควรจะเป็นอย่างช้าๆ และท่อนปิดท้ายที่เราชอบมากๆ ด้วยประโยค
“ทะเลทุกข์กว้างไร้ประมาณ กลับมาจะพบฝั่ง” ของอิตเต็งไต้ซือ จากนิยายเรื่อง มังกรหยก ของกิมย้ง ปรมาจารย์ที่กอล์ฟหลงใหล แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นเพลงแบบไหน เขาสามารถใส่ความเชื่อและความชอบของตัวเองสอดแทรกลงไปได้เสมอ
13. บนพระจันทร์ Ft. อ.ไข่ มาลีฮวนน่า (Prod. By ธิติวัฒน์ รองทอง)
เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่เราอยากกดข้ามมากที่สุดเมื่อเพลงนี้วนมาถึง
ไม่ใช่ว่าเพลงนี้ไม่ดี แต่เป็นเพราะเพลงนี้ดีเกินไป ซื่อสัตย์เกินไป ส่วนตัวเกินไป และจริงจนน่ากลัวเกินกว่าที่เราจะกล้าฟังเพลงนี้ซ้ำๆ โดยกลั้นน้ำตาไม่ให้ซึมออกมาได้
เพลงที่มีเพียงแค่กีตาร์โปร่ง เสียงฮาร์โมนิกา เสียงของ อ.ไข่ จากวงมาลีฮวนน่า ประสบการณ์ของกอล์ฟ และความเศร้าที่ทำให้เราคิดถึงใครบางคนที่มักจะหลงลืมเขาอยู่บ่อยๆ เป็นองค์ประกอบอันแสนจับใจในเพลงนี้
คิดว่ากอล์ฟต้องต่อสู้กับความรู้สึกภายในของตัวเองอย่างหนักจึงสร้างเพลงนี้ออกมาได้ เราไม่ได้รู้สึกด้วยซ้ำว่าเขา ‘แต่ง’ เพลงนี้ขึ้นมา เพราะสิ่งที่เขาทำคือเอามีดกรีดหัวใจ คั้นประสบการณ์ส่วนที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต บีบออกมาเป็นเลือด แล้วค่อยจุ่มหมึก จรดปากกาเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง
เป็นเพลงที่กอล์ฟพูดถึงคุณพ่อที่จากไป และความรู้สึกผิดในใจซึ่งกลายเป็นตราบาปที่เขาไม่มีวันลบออก ซึ่งเราต้องขอขอบคุณเขาจากใจจริงที่อนุญาตให้เราเข้าไปสำรวจส่วนหนึ่งที่ลึกที่สุดในชีวิตเขาได้มากขนาดนี้
กอล์ฟเคยให้สัมภาษณ์กับผมว่า ความรู้สึกผิดในใจทำให้เขาเคยคิดอยาก ‘คืน’ ชีวิตให้กับคุณพ่อ แต่เราขออนญาตคิดแทนไปเองว่าอย่างน้อยที่สุด คุณพ่อของเขาที่กำลังเฝ้ามองจากพระจันทร์จะต้องภูมิใจในตัวลูกคนนี้มากๆ ที่สามารถเขียนเพลงแทนใจที่ทำให้ลูกๆ อีกหลายคนกลับไปคิดถึงคุณพ่อและคุณแม่ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
และเสียงของ อ.ไข่ และเนื้อเพลงของกอล์ฟ คือความมหัศจรรย์ของวงการเพลงไทยอย่างแท้จริง
14. Michael Collins Ft. Boy Lomosonic (Prod. By ประทีป สิริอิสสระนันท์)
Hidden Track ที่มีกิมมิกเล่นกับคนดูตั้งแต่การทิ้งช่วงเวลา 2.55 นาทีก่อนเข้าเพลง เพื่อแทนความรู้สึกที่เงียบงันบนอวกาศที่ ไมเคิล คอลลินส์ ต้องเผชิญระหว่างเฝ้ายาน รวมทั้งการเฝ้าดู นีล อาร์มสตรอง และบัซ อัลดริน จารึกประวัติศาสตร์ด้วยการประทับรอยเท้าไว้บนดวงจันทร์
กอล์ฟเคยพูดถึงความรู้สึกของ ไมเคิล คอลลินส์ อยู่หลายครั้ง และคิดจะเขียนเรื่องของเขาลงไปในเพลง FHERO ที่ใช้แนะนำตัวด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาเลือกใช้ชีวิตของนักบินอวกาศที่ไม่มีใครจดจำมาเป็นบทสรุปชีวิตของเขาและพาร์ต Into ในอัลบั้มนี้แทน
สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆ ในเพลงนี้คือการที่กอล์ฟเลือกพูดถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ด้วยความเคารพ และสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ไม่อาจทำตามความฝัน ได้แต่นั่งมองพระจันทร์ทั้งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม และในฐานะแรปเปอร์ที่มีความฝันและอยากสร้างตำนานของตัวเองขึ้นมา
กอล์ฟเลือกที่จะใช้ปากกาของเขา ‘เขียน’ ประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ โดยใช้ตัวเขาแทนค่าสมการที่ ไมเคิล คอลลินส์ ต้องเจอ และเลือกที่จะไม่นั่งมองอยู่เฉยๆ แต่จะขอเสี่ยงชีวิตออกไปปักธงบนดวงจันทร์ด้วยตัวเอง
“กระโดดออกจากหน้าต่างยานแล้วเสี่ยงโชคไปเลย กดวิทยุไปบอกเพื่อนเอายานกลับโลกไปเลย ระเบิดให้แสงสว่างจ้าให้ช่วงโชติไปเลย ดีกว่าไม่อยู่ในความทรงจำใครเลย”
หากจะมีใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกถูกลืมของ ไมเคิล คอลลินส์ ได้ดีที่สุดก็คงจะต้องเป็นคนที่เคยถูกปรามาส ร่วมสร้างผลงานกับผู้คนมากมายแต่ไม่มีใครจดจำ ถึงขนาดเรียกตัวเองว่าเป็น ‘กะหรี่’ วงการอย่างเขานี่ล่ะ ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ความเจ็บปวดนั้นได้ดีที่สุด
และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะไม่นั่งอยู่เฉยๆ หยิบปากกาขีดเส้นทางของตัวเองขึ้นมาใหม่ ให้โลกต้องจดจำเขาในฐานะ ‘ตำนาน’ ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์