ProPublica สำนักข่าวออนไลน์ที่นำเสนอข่าวเชิงลึกในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยรายงานที่อ้างอิงจากข้อมูลลับของกรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) ซึ่งพบว่าบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดติดอันดับโลกบางคน รวมถึง เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าพ่อ Amazon, อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง Tesla, วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุน, คาร์ล ไอคาห์น หนึ่งในเจ้าพ่อตลาดหุ้น, ไมเคิล บลูมเบิร์ก นักธุรกิจหมื่นล้าน และ จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงิน จ่ายภาษีเพียงแค่เศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งร่ำรวยของสินทรัพย์ที่ครอบครองอยู่ โดยที่ในบางปีมหาเศรษฐีบางรายแทบไม่ต้องควักเงินเสียภาษีเลยสักแดงเดียว
ขณะเดียวกันในเอกสารที่ทาง ProPublica ได้รับมา ยังพบอีกว่า 25 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกามีรายได้เพิ่มขึ้นรวม 401,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12 ล้านล้านบาท) ในช่วงระหว่างปี 2014-2018 เศรษฐีเหล่านี้กลับเสียภาษีทั้งหมดเพียงแค่ 13,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 424,456 ล้านบาท) ในช่วงเวลา 5 ปีดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนอัตราภาษีเพียงแค่ 3.4% ของรายได้ของมหาเศรษฐีเหล่านี้เท่านั้น
ขณะที่ในครัวเรือนชนชั้นกลางของสหรัฐฯ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ต่อปีประมาณ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.18 ล้านบาท) กลับต้องเสียภาษีเงินได้ถึง 14% ส่วนคู่สมรสมที่หารายได้รวมกันได้มากกว่า 628,300 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 19.6 ล้านบาท) ต้องเสียภาษีสูงถึง 37%
ProPublica ชี้ว่า บรรดามหาเศรษฐีทั้งหลาย ซึ่งมีแหล่งรายได้ต่างจากคนทั่วไปที่มาจากการรับจ้างทำงาน มักจะได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์การหลีกเลี่ยงภาษี หรือมาตรการลดหย่อนที่คนธรรมดาสามัญทั่วไปไม่สามารถจะเอื้อมถึงได้
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ความมั่งคั่งร่ำรวยของมหาเศรษฐีส่วนใหญ่มาจากมูลค่าของหุ้นและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งการครอบครองเป็นเจ้าของทรัพย์สินเหล่านี้ตามกฎหมายแล้วต้องเสียภาษี จนกว่าที่ผู้ครอบครองจะขายสินทรัพย์เหล่านั้นออกไป
ทั้งนี้ ProPublica ได้คำนวณสัดส่วนความมั่งคั่งกับภาษีที่จ่ายไปของมหาเศรษฐีแต่ละราย พบว่า บัฟเฟตต์จ่ายภาษีเพียงแค่ 0.1% หรือ 23.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น 24,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างปี 2014-2018
ด้านเจ้าพ่อ Amazon อย่างเบโซส์ จ่ายภาษีไม่ถึง 1% หรือ 973 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น 99,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2014-2018 ทั้งยังมีรายงานว่าในปี 2007 เบโซส์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้แม้เพนนีเดียว แถมยังมีการดำเนินการเลี่ยงภาษีในปี 2011
ส่วน อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อ Tesla เสียภาษีที่ 3.27% หรือ 455 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่พ่อมดทางการเงินอย่างโซรอส ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้ในปี 2016 และ 2018 เพราะการลงทุนขาดทุน และ ไอคาห์น นักลงทุนอีกรายก็ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้ในปี 2016 และ 2017 ทั้งๆ ที่มีรายได้ตลอดทั้งปีโตขึ้น 544 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้จะไม่มีการเปิดเผยถึงที่มาของการเข้าถึงเอกสารลับดังกล่าว แต่ทาง ProPublica ก็ออกมายืนกรานหนักแน่นว่า เอกสารที่ได้รับล้วนเป็นข้อมูลจริงที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การออกมาเปิดเผยดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับทางคณะกรรมาธิการกรมสรรพากรสหรัฐฯ ซึ่งออกมาประกาศกร้าวว่าจะร่วมมือกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสืบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) และสำนักงานอัยการเขตโคลัมเบียในการดำเนินการสอบสวนตรวจสอบของที่มาที่ไปของข้อมูลภาษีดังกล่าว ขณะที่ เจน ปสากี โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมาประณามการนำข้อมูลส่วนบุคคลและเป็นข้อมูลลับของทางราชการมาเปิดเผยต่อสาธารณะว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และทางการสหรัฐฯ จะดำเนินการจัดการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง
ในส่วนของความเห็นเกี่ยวกับภาษี โฆษกทำเนียบขาวระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเร่งเดินหน้าปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกับทุกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: