กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.45-34.90 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 34.64 บาทต่อดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 34.47-34.87 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นเงินเยน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ตามคาด ขณะที่ค่ากลางของ Dot Plot อยู่ที่ 5.6% ส่งสัญญาณว่า Fed อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 50bp ก่อนสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ Fed ยังให้ความเห็นว่าอาจหยุดพักการขึ้นดอกเบี้ยในรอบกว่า 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ประเมินข้อมูลต่างๆ ขณะที่ประธาน Fed ระบุว่า จังหวะความเร็วในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเวลานี้มีความสำคัญน้อยกว่าการพยายามหาดอกเบี้ยปลายทางที่เหมาะสม
ทางด้านเงินยูโรแตะจุดสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับดอลลาร์หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก 25bp สู่ 3.50% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 22 ปี พร้อมส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ขณะที่ ECB ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานของกลุ่มยูโรโซนเป็น 5.1% ในปีนี้ และ 3.0% ในปี 2567
ปิดท้ายด้วยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งคงนโยบายแบบผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ และให้คำมั่นว่าจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างอดทน เพื่อประกันว่าญี่ปุ่นจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ได้อย่างยั่งยืน ส่งผลให้เงินเยนร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เมื่อเทียบกับดอลลาร์
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 2,958 ล้านบาท และมียอดขายพันธบัตร 15,182 ล้านบาท โดยเกิดจากตราสารครบอายุเป็นหลัก
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของประธาน Fed ต่อสภาในวันที่ 21-22 มิถุนายน เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่อไป นอกจากนี้ตลาดจะรอดูว่าจีนจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย 25bp ในการประชุมวันที่ 22 มิถุนายน ส่วนนโยบายของ BOJ รวมถึง Sentiment สินทรัพย์เสี่ยงที่สดใสขึ้นจะยังคงกดดันอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของญี่ปุ่นและค่าเงินเยนในระยะนี้
สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังผ่อนคลายกว่าระดับที่เป็นกลาง (Neutral) เล็กน้อย โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังเป็นนโยบายที่เหมาะสมเมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูง ท่าทีดังกล่าวทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจาก 2.00% ในการประชุมเดือนสิงหาคม
