ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาด ESG FUND ช่วยสร้างเสถียรภาพระยะยาวให้กับตลาด และดึงเม็ดเงินเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทยได้ราว 2-7 หมื่นล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี พร้อมแนะลุยหุ้นใน SETESG ที่ถูกชอร์ตเซลหนัก ที่มีลุ้นฟื้นตัวจากสภาพคล่องในตลาดเพิ่ม
ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ปรับตัวลงมาแล้ว -11% และ UNDERPERFORM กว่าตลาดหุ้นโลกมาก อีกทั้งยังมีปริมาณ SHORT SELL เฉลี่ยสูงถึง 5.1 พันล้านบาทต่อวัน (สัดส่วน 11.1% ของมูลค่าซื้อขาย) และสูงกว่าช่วง COVID ก่อนมีกฎ UPTICK ที่ SHORT SELL เฉลี่ย 3.9 พันล้านบาทต่อวัน (สัดส่วน 6.0% ของมูลค่าซื้อขายเท่านั้น) ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยตกหนัก
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยมุมมองผ่านบทวิเคราะห์ว่า ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2566 ถึงปัจจุบัน SET INDEX ปรับตัวลงแรงกว่า -179 จุด หรือ -11.4% จนล่าสุดปิดที่ระดับ 1,387.13 จุด ซึ่งส่วนหนึ่งโดนกดดันมาจากการ SHORT SELL หุ้นรายตัว สังเกตได้จากการปรับตัวลงแรงของหุ้นในแต่ละวันของช่วงที่ผ่านมา
โดยหุ้นที่ถูก SHORT SELL มากที่สุด (เดือนกันยายน 2566 ถึงปัจจุบัน) คือ PTT, PTTEP-R, BDMS, AOT, DELTA-R, PTTEP, ADVANC, SCB-R, CPALL, AOT-R, EA-R เป็นต้น ขณะที่หากพิจารณาเป็นภาพรวม SET INDEX จะเห็นได้ว่ามูลค่าการ SHORT SELL ในปัจจุบันสูงกว่าในช่วงก่อนมีกฎ UPTICK ในช่วง COVID ปี 2560 เสียอีก
โดยช่วงก่อนมี UPTICK (เดือนมกราคม 2563 ถึงกลางเดือนมีนาคม 2563) SET INDEX ปรับตัวลง -39% โดยมีปริมาณ SHORT SELL 6% จากมูลค่าซื้อขาย 6.68 หมื่นล้านบาทต่อวัน ส่วนช่วงเดือนกันยายน 2566 – 13 พฤศจิกายน 2566 SET INDEX ปรับตัวลง -11% โดยมีปริมาณ SHORT SELL 11% จากมูลค่าซื้อขาย 4.62 หมื่นล้านบาทต่อวัน
ลุ้นกองทุน ESG หนุนมูลค่าซื้อขายคึกคักอีกครั้ง
ฝ่ายวิจัยระบุว่า ระยะถัดไป SET INDEX มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นหลังรัฐบาลเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของ SET INDEX โดยวันนี้ (14 พฤศจิกายน) จะมีการประชุมของรัฐบาล FETCO-AIMC เกี่ยวกับประเด็นข้อสรุปเกณฑ์ตั้ง ESG FUND (ไม่ใช่กองทุนพยุงหุ้น แต่จะเป็นกองทุนคล้าย LTF) ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าหาก ESG FUND ได้รับการอนุมัติ จะเป็นภาพบวกต่อ SET INDEX ให้มีมูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคักอีกครั้ง คาดหวังเม็ดเงินหนุนช่วงที่เหลือของปี 2-7 หมื่นล้านบาท เฉกเช่นเดียวกับช่วงที่มีกองทุนประหยัดภาษี LTF ที่มีมูลค่าเม็ดเงินหนุนตลาดกว่า 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี (เฉพาะเดือนธันวาคม มีมูลค่าเม็ดเงินหนุนตลาดกว่า 2 หมื่นล้านบาท)
อีกทั้ง ESG FUND ยังมีความน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ SETESG INDEX ชนะ SET INDEX ทุก TIMEFRAME กล่าวคือ SETESG INDEX มีความสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า SET INDEX ทั้งช่วงตลาดหมีและกระทิง ดังนั้นคาดทำให้หุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SETESG INDEX ทั้ง 114 ตัว จะน่าสนใจขึ้น และเป็นเป้าหมายของ ACTIVE FUND และ PASSIVE FUND
แนะลุยหุ้นใน SETESG
โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่อยู่ใน SETESG INDEX ที่ถูก SHORT เยอะๆ มีโอกาสได้เม็ดเงินใหม่หนุน บวกกับถูก COVERED SHORT โดยมีเงื่อนไขการคัดกรองดังนี้
- หุ้นใน SETESG เฉพาะที่มี RATING ระดับ AAA และ AA
- ถูกนักลงทุน SHORT SELL มากกว่า 1 พันล้านบาท ในช่วงเดือนกันยายน 2566 ถึงปัจจุบัน
ซึ่งได้บริษัทที่น่าลงทุนคือ EA, BGRIM, GPSC, SCGP, PTTGC, HMPRO, GULF, CPALL, CRC, SCC, MINT, SIRI ฯลฯ
โดยสรุป SET INDEX ปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่งคือการ SHORT SELL ของหุ้นรายตัว ซึ่งทำให้มูลค่า SHORT SELL ในปัจจุบันสูงกว่าช่วงก่อนมีกฎ UPTICK เสียอีก ขณะที่ระยะถัดไปหากมีกองทุนประหยัดภาษีรูปแบบใหม่ ESG FUND ที่คล้ายกองทุน LTF คาดทำให้มีเม็ดเงินหนุน SET INDEX เข้ามา 2-7 หมื่นล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี หรือราว 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี และอาจหนุนให้ SET INDEX สามารถ OUTPERFORM ตลาดหุ้นอื่นๆ ได้