พูดก็พูดเถอะ ถ้าพูดถึงโคลอมเบีย ฉันรู้จักเรื่องราวของราชาค้าเสพติดระดับตำนานของโลกอย่าง พาโบล เอสโกบาร์ (Pablo Escobar) มากกว่าชื่อของเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวเสียอีก
ทั้งที่ความจริงแล้วโคลอมเบียมีหลายเรื่องหลากแง่มุมที่น่ารู้กว่าเรื่องของเอสโกบาร์ตั้งเยอะ อย่างเรื่องสุดยอดกาแฟในยุทธจักรที่ต้องมีกาแฟโคลอมเบียติดโผอยู่ด้วยแน่นอน ดีขนาดที่องค์การยูเนสโกยกให้เรื่อง Coffee Culture เป็นมรดกโลกด้วย และเรื่องหลายคนอาจยังไม่เคยรู้คือ โคลอมเบียเป็นประเทศที่ส่งออกกาแฟเยอะเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากบราซิลและเวียดนาม
หรืออย่างงานคาร์นิวัล ที่โคลอมเบียก็มีงานคาร์นิวัลที่จัดได้ยิ่งใหญ่แบบพอฟัดพอเหวี่ยงกับริโอ เดอ จาเนโร และถ้าเป็นสมัยก่อนเขาอาจจะเป็นประเทศที่ส่งออกโคเคนเจ้าใหญ่สุด… แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้นอกจากส่งออกกาแฟเป็นหลักแล้ว ยังส่งออกดอกไม้เยอะเป็นรองแค่เนเธอร์แลนด์เท่านั้นแหละ
จำได้ว่าทีแรกก็นึกอยากจะไปดูงานคาร์นิวัลของโคลอมเบียเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเดือนที่ไปไม่ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งจัดงานคาร์นิวัล เลยต้องรื้อปรับขยับแผนใหม่ หวยจึงมาออกที่เมือง การ์ตาเคนา (Cartagena) เมืองท่องเที่ยวที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ และข้อหาที่เป็นเมืองมีสายสะพายมรดกโลก การ์ตาเคนาจึงน่าจะเป็นเมืองเนื้อหอมที่สุดแห่งหนึ่งของโคลอมเบีย
เหาะเหินเดินอากาศจากโบโกตามาไม่ถึง 2 ชั่วโมง มองเห็นทะเลแคริบเบียนอยู่ลิบๆ เรือบินก็ทาบสองล้อลงบนเมืองการ์ตาเคนาที่ใครๆ ก็บอกว่าคลาสสิก สุนทรี โรแมนติก รวมทุกอย่างไว้ที่นี่
นักเดินทางผู้ชำนาญการเส้นทางแถบลาตินอเมริกาเคยบอกฉันไว้ว่า ถ้าได้เจอการ์ตาเคนาจะยิ่งหลงใหลโคลอมเบียมากขึ้นอีก เรายังได้ยินว่าการ์ตาเคนาคือเมืองมรดกโลกที่กำลังเป็นเมืองดาวรุ่งมาแรงแซงเมืองไหนๆ ในลาตินอเมริกา ขนาดกุสโกแห่งเปรูที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองยอดนิยม นาทีนี้ยังต้องยอมหลีกทางให้การ์ตาเคนาเชียว
ทุกวันนี้มีชาวปาเลนเกราอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ 3 พันกว่าคน ในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองที่ทาสอพยพมาอยู่กันหลังจากได้รับการปลดปล่อยแห่งแรกของทวีปอเมริกาใต้ น่าสนใจตรงที่ชาวเมืองซึ่งดั้งเดิมเป็นพวกครีโอลยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมแอฟริกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น และในทุกวันหญิงชาวปาเลนเกราจะแต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสด โพกหัว ทัดดอกไม้ เทินกะละมังผลไม้มาขายที่การ์ตาเคนา
เพื่อพิสูจน์ว่าการ์ตาเคนาเลอค่าอย่างที่หลายคนว่าไว้ ฉันเดินเลาะชายหาดจากย่านริมทะเลไปเมืองเก่า ปากทางเข้าเมืองเก่าเป็น Marina Park ที่มีสวนและอนุสาวรีย์ ก่อนจะเดินทะลุเข้ากำแพงที่โอบเมืองเก่าเอาไว้ทั้งเมือง ยังไม่รู้ว่าภายใต้กำแพงเมืองที่สเปนเคยสร้างไว้ได้โอบล้อมเมืองเก่าเอาไว้จะมีอะไรบ้าง แต่ที่เกี่ยวสายตาทุกคู่ให้หยุดมอง น่าจะเป็นหอคอย Torre de Reloj หอนาฬิกาเก่าแก่ทำหน้าที่เป็นโลโก้ของเมือง ถึงแม้หอนาฬิกาจะสร้างในศตวรรษที่ 19 แต่ยังดูใหม่ ดูรูปจากสมัยก่อนอาจจะถลอกปอกเปิก แต่พอจับมาทาสีเหลือง เลยใหม่เอี่ยมเลี่ยมสดเหมือนมะม่วงอกร่องเลย
ด้านใต้มีประตูเข้าเมืองเก่าที่พอโผล่เข้ามาเท่านั้นแหละ ก็พบว่าด้านในอวดอาคารบ้านเรือนในแบบโคโลเนียลสีสันฉูดฉาดจัดจ้านเอาไว้อย่างงดงาม มุมที่เป็นเหมือนห้องรับแขกของการ์ตาเคนาอยู่ที่จัตุรัส Plaza de los Coches มุมนี้เป็นลานโล่งที่มีไว้จัดงานเทศกาลงานรื่นเริง
รอบๆ อาคารสีสันสดใสทั้งยังเป็นที่ซ่อนตลาด Portal de los Dulces เอาไว้ ตลาดนี้ซุกตัวอยู่ท่ามกลางสีสันของอาคารที่อยู่รอบตัว มีขนมหวาน ลูกกวาด ผลไม้ ขนม และข้าวของในแบบโคลอมเบียนสไตล์ที่น่าหิ้วกลับบ้านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพวกขนมนมเนยเขาทำขายกันมาเป็นร้อยปีแล้ว ถ้าอยู่แถวนี้จะได้เห็นแม่ค้าชาวปาเลนเกรา (Palenquera) ห่มห่อด้วยอาภรณ์สีฉูดฉาดกำลังเทินกะละมังผลไม้หลายชนิดไว้บนหัว แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ที่นี่จึงเป็นอีกมุมหนึ่งของการ์ตาเคนาที่น่าช้อปอย่าบอกใคร
หญิงชาวปาเลนเกราพวกนี้เธอมาจากเมืองปาเลนเก (Palenque) ที่อยู่ห่างจากเมืองการ์ตาเคนาราวๆ 40 กว่ากิโลเมตร ทุกวันนี้มีชาวปาเลนเกราอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ 3 พันกว่าคน ในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองที่ทาสอพยพมาอยู่กันหลังจากได้รับการปลดปล่อยแห่งแรกของทวีปอเมริกาใต้ น่าสนใจตรงที่ชาวเมือง ซึ่งดั้งเดิมเป็นพวกครีโอลยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมแอฟริกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น และในทุกวันหญิงชาวปาเลนเกราจะแต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสด โพกหัว ทัดดอกไม้ เทินกะละมังผลไม้มาขายที่การ์ตาเคนา ที่จริงนักท่องเที่ยวสามารถพบเจอพวกเธอได้ตามจัตุรัสต่างๆ แต่ที่จัตุรัส Plaza de los Coches นี่รู้สึกจะหาดูง่ายที่สุด หากอยากถ่ายรูปกับพวกเธอ รบกวนอุดหนุนผลไม้ของพวกเธอที่แม้ราคาจะแพงไปนิด แต่ถือว่าเป็นค่าถ่ายรูป จากนั้นพวกเธอจะโพสท่าใส่กล้องไม่ยั้งทีเดียวเชียว
และที่จัตุรัสนี้อีกเช่นกัน ที่หากใครอยากจะนั่งรถม้าท่องเมืองเก่าการ์ตาเคนา มุมนี้มีวินม้ารอทุกคนอยู่ แต่ถ้าเดินทอดน่องท่องเมืองเก่า ก็จะรู้สึกเพลิดเพลินจนลืมเหนื่อย
และเหมือนกับเมืองโบโกตา (Bogota) เมืองหลวงของโคลอมเบียที่พอเข้ามาในเมืองเก่าของการ์ตาเคนาแล้ว เดินละจากหอนาฬิกาก็ไปตั้งหลักที่จัตุรัส Plaza Bolivar จะเหมาะสุด เพราะนี่คือจัตุรัสประจำเมืองที่กลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของไซมอน โบลิวาร์ (Simón Bolívar) ผู้ทำสงครามประกาศอิสรภาพประเทศต่างๆ ในอเมริกาใต้ รวมทั้งโคลอมเบียให้พ้นจากการเป็นอาณานิคมของสเปน
รายรอบอาคารจัตุรัสยังมีอาคารของทางการ ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์ทอง เพราะในอดีตโคลอมเบียได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทองคำที่ถูกใจพวกสเปนมาก นอกจากนี้ยังมีมหาวิหารแห่งเมืองการ์ตาเคนา (Cartagena Cathedral) ที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างงดงาม
เดินละจากจัตุรัสโบลิวาร์ไปไม่ไกล ยังมีจัตุรัส Plaza de Santo Domingo จัตุรัสเล็กๆ ที่นอกจากจะมีโบสถ์สวยๆ และเก่าแก่ที่สุดในเมืองอย่างโบสถ์ Santo Domingo Church แล้ว ยังมีรูปปั้นของหญิงร่างอ้วน (La Gordita) ที่เป็นฝีมือของศิลปินชื่อดังชาวโคลอมเบียอย่าง Fernando José Torres Sanz
ร่างอวบอ้วนนี้นอนอยู่หน้าโบสถ์อย่างสบายอารมณ์ แทบจะเรียกว่าคนที่มาการ์ตาเคนาทุกคนเป็นต้องเดินหารูปปั้นนี้เพื่อจับหล่อนบันทึกเข้าเมโมรีการ์ดกันทั้งนั้น
การ์ตาเคนาอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางลำดับต้นๆ เมื่อนึกถึงละตินอเมริกา แต่พอได้ลองพาตัวเองมาสัมผัสโคลอมเบียก็อาจตกที่นั่งเดียวกับนักเดินทางจากทั่วมุมโลก คือเผลอรักประเทศนี้โดยไม่รู้ตัว