EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้าอาจโต 0-2% พร้อมชำแหละปัญหาเชิงโครงสร้าง ชี้ SMEs ขาดผู้เล่นหน้าใหม่ มีส่วนสร้างรายได้ส่งออกต่ำไม่ถึง 10% น้อยกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามถึง 3 เท่า ห่วงบาทแข็ง เตือนค่าเงินบาทแข็งค่า 1 บาท กำไรผู้ส่งออกอาจลดลง 2%
วันนี้ (17 ธันวาคม) ชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า แม้การส่งออกของไทยในปี 2568 จะมีแนวโน้มขยายตัวสูงราว 13%YoY แต่การฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลจากฐานที่ต่ำในช่วงครึ่งแรกของปีก่อน ควบคู่กับการเร่งนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้า (Front-loading) มากกว่าเป็นผลของการเติบโตเชิงโครงสร้าง
ขณะที่แนวโน้มในปี 2569 ยังนับว่าน่ากังวล โดย EXIM BANK ประเมินว่า การส่งออกไทยอาจขยายตัวได้เพียง 0-2% จากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งฐานการส่งออกที่ปรับสูงขึ้น และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนความผันผวนของค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออกไทย
นอกจากนี้ ชลัชยังห่วงสถานการณ์ของสกุลเงินบาทที่ ‘แข็งค่า’ ต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออก โดยกล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1 บาท จะกระทบต่อกำไรของผู้ส่งออกเกือบ 2% และหากแข็งค่าขึ้นเป็น 2 บาท กำไรของผู้ส่งออกอาจหายไปสูงถึง 5%
ณ วันนี้ ค่าเงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแข็งค่าขึ้นราว 8.5% ตั้งแต่ต้นปี (YTD)
EXIM BANK เปิดปัญหาเชิงโครงสร้างส่งออกไทย
นอกเหนือจากปัจจัยภายนอก ชลัชระบุอีกด้วยว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศยังเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ฉุดรั้งภาคการส่งออกของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะจำนวนผู้ส่งออกที่แทบไม่เพิ่มขึ้นในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
โดยจากข้อมูลของ EXIM BANK พบว่า ไทยมีผู้ส่งออก 26,932 ในปี 2556 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับระดับ 27,007 รายในปี 2567 โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการ SMEs ถึง 20,588 ราย คิดเป็นสัดส่วน 76.2% ของผู้ส่งออกทั้งหมด และผู้ส่งออกรายใหญ่ 6,419 ราย คิดเป็นสัดส่วน 23.8%
แม้จะมีจำนวนมากในมิติปริมาณ แต่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยกลับสร้างมูลค่าส่งออกได้เพียง 9.6% ของมูลค่ารวม ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ครองสัดส่วนมูลค่าส่งออกสูงถึง 90.4% ซึ่งหากเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค จะพบว่า ผู้ส่งออกในกลุ่ม SMEs ของเวียดนาม ครองสัดส่วนด้านมูลค่ามากกว่า SMEs ไทยถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ ชลัชยังเตือนว่า ตลาดโลกมีแนวโน้ม ‘เลือกข้าง’ มากขึ้น หากผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ยังพึ่งพาตลาดหลักเดิม เช่น สหรัฐฯ หรือจีนเป็นหลัก จะเผชิญความเสี่ยงสูงจากมาตรการกีดกันทางการค้า การขึ้นภาษีนำเข้า หรือการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด
ชู 4 แนวทางขับเคลื่อนการส่งออกปี 2569
เพื่อช่วยเหลือภาคส่งออกไทยให้สามารถปรับตัว ทั้งในด้านการกระจายตลาด การยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน และการแก้ไขข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า EXIM BANK ดำเนินการโดยยกระดับบทบาท จากสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ ไปสู่การเป็น ‘Export Co-pilot’ เพื่อร่วมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ผ่าน 4 แนวทางหลัก ดังนี้
1) เติมสภาพคล่อง มุ่งเป้าตลาดใหม่ (Liquidity for New Frontiers)
ชลัชยืนยันว่า จุดยืนของ EXIM Bank ไม่ใช่การแข่งขันรีไฟแนนซ์กับธนาคารพาณิชย์ แต่จะเป็นการเติมสภาพคล่องในส่วนที่ระบบการเงินยังเข้าไม่ถึง โดยมุ่งสนับสนุนผู้ส่งออกรายย่อย ให้ขยายตลาดจากตลาดเดิมที่มีการแข่งขันสูง ไปสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ (New Frontiers) อาทิ ตลาดที่มีกำลังซื้อสูงในตะวันออกกลาง และตลาดที่มีประชากรมากอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และจีนตอนกลาง
2) แก้หนี้ด้วยออเดอร์
EXIM BANK ระบุว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้จะไม่จำกัดอยู่แค่การปรับโครงสร้างหนี้หรือลดอัตราดอกเบี้ย แต่จะมุ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการขาดรายได้ โดยใช้แนวคิด ‘แก้หนี้ด้วยการหาออเดอร์’ ผ่านการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนควบคู่การช่วยเปิดตลาดใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาผลิตและส่งออก สร้างกำไร และนำรายได้ไปชำระหนี้เดิมได้อย่างยั่งยืน ผ่านสินเชื่อ EXIM Export Booster
3) สร้างเสถียรภาพธุรกิจ รองรับกติกาการค้าโลกด้วย ESG
ในบริบทที่กติกาการค้าโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการยกระดับผู้ประกอบการไทยให้คำนึงถึงความยั่งยืนและมาตรฐาน ESG เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และเสริมสร้างเสถียรภาพทางธุรกิจในระยะยาว
4) ยกระดับบทบาท Export Co-pilot สร้างผู้ส่งออกหน้าใหม่อย่างยั่งยืน
ชลัชระบุว่า EXIM BANK จะไม่ทำหน้าที่เพียงผู้ปล่อยสินเชื่อ แต่จะเป็น ‘Export Co-pilot’ หรือ ‘เพื่อนคู่คิด’ ที่ช่วยวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการส่งออกในแต่ละธุรกรรม ว่าสามารถสร้างกำไรได้จริงหรือไม่ ภายใต้ความผันผวนของตลาดและอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมกับเดินหน้าขยายฐานผู้ประกอบการ SMEs ในพอร์ต เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ส่งออกไทยและยกระดับ SMEs ในประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
มาตรการเร่งด่วน รับมือความเสี่ยงเฉพาะหน้า
นอกเหนือจากแผนขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างระยะยาว ชลัชระบุว่า EXIM BANK ได้เตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อประคับประคองผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงเฉพาะหน้า 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ความผันผวนของค่าเงินบาท สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และเหตุปะทะตามแนวชายแดน
1) แนะ SMEs ปรับมายด์เซ็ต จัดการความเสี่ยง รับมือ ‘บาทแข็ง’
ชลัชระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังขาดเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มีระบบจองซื้อเงินตราล่วงหน้า (Forward) และทีมบริหารจัดการความเสี่ยงโดยเฉพาะ
โดยชลัชกล่าวว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท กำไรของผู้ส่งออกอาจลดลงเกือบ 2% และหากแข็งค่าขึ้น 2 บาท กำไรอาจหายไปถึง 5%
ชลัชชี้ว่า จุดอ่อนสำคัญของ SMEs คือการมุ่งแข่งขันด้านปริมาณหรือราคาเพื่อให้ได้ออเดอร์ โดยไม่คำนวณผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือบางรายอาจเลือกเก็งกำไรค่าเงินซึ่งมีความเสี่ยงสูง จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนแนวคิด โดยคำนวณต้นทุนและกำไรสุทธิก่อนรับออเดอร์ เพื่อให้การส่งออกยังคงสร้างผลตอบแทนที่แท้จริง
2) สินเชื่อฟื้นฟูอุทกภัยภาคใต้ วงเงิน 1 ล้านบาท
สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ EXIM BANK ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะเปิดกว้างครอบคลุมอุตสาหกรรมทุกกลุ่ม ไม่จำกัดเฉพาะผู้ส่งออก
โดยมาตรการดังกล่าวเป็นสินเชื่อฟื้นฟูสำหรับนิติบุคคล วงเงินสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0% ในปีแรก ระยะเวลาผ่อนชำระ 3 ปี สำหรับทุกอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้ทันที
3) ประคับประคองผู้ประกอบการชายแดน ป้องกันผลกระทบลุกลามเป็นหนี้เสีย
สำหรับกรณีปัญหาระหว่างประเทศหรือชายแดน ชลัชระบุว่า EXIM BANK จะใช้มาตรการพักหนี้และยืดหนี้ประมาณ 6 เดือนเพื่อดูสถานการณ์ โดยพยายามไม่ผลักให้เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะเกิดจากปัจจัยภายนอก ไม่ใช่ประสิทธิภาพ (Performance) ของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ชลัชระบุว่า ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจเกิดขึ้นซ้ำได้ในอนาคต ผู้ประกอบการจึงไม่ควรรอให้สถานการณ์คลี่คลายเพียงอย่างเดียว แต่ควรเร่งกระจายตลาดและหาตลาดใหม่ทดแทน เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและลดความเปราะบางของธุรกิจในระยะยาว


