ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ได้กล่าวถึง 4 หลักการสำคัญ เพื่อที่เราจะสามารถเป็นผู้ชนะหรือทำกำไรและเติบโตจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้ในระยะยาว ได้แก่ 1. การมองภาพระยะยาว 2. การมีศักยภาพเหนือคู่แข่ง 3. การเข้าใจความต้องการของมนุษย์ และ 4. การเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ จากงาน WEALTH CLUB 2023 ซึ่งจัดโดยทีมงานของ THE STANDARD WEALTH เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อ Success in a Low-Return World: จากผู้รอดชีวิต สู่ผู้ชนะในสมรภูมิลงทุน
ดร.นิเวศน์เกริ่นถึงประสบการณ์ลงทุนของตัวเองในตลาดหุ้นเป็นเวลา 30 ปี อย่างไรก็ตาม ดร.นิเวศน์มองว่าเราอาจผ่านจุดที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว หากมองย้อนไปช่วงหลังวิกฤตปี 2540 ในเวลานั้นหุ้นไทยยังไม่ทันสมัยและยังไม่ร่ำรวยเท่าวันนี้ ในตอนนั้นตลาดหุ้นก็เพิ่งประสบปัญหารุนแรงจากวิกฤตการเงิน
“ผมชอบคิดย้อนหลังว่าทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งต้องบอกว่าฟลุก หากไปอ่านหนังสือตีแตกจะเห็นว่าการลงทุนตอนนั้นเน้นซื้อหุ้นราคาถูกมากกว่าเรื่องของคุณภาพหุ้น ย้อนหลังกลับไป 20 ปีก่อน ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าหุ้นไทยในวันนั้นน่าสนใจอย่างมาก”
แต่สิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนและทุกๆ เรื่องที่ลงมือทำคือ การมองภาพระยะยาว เพราะการมองภาพระยะยาวจะช่วยให้ผลลัพธ์จากการทำให้ประสิทธิผลไปได้ตลอด ซึ่ง ดร.นิเวศน์ยกตัวอย่างถึงการถือหุ้นเพื่อลงทุน 10-20 ปี หรือการเขียนหนังสือที่เขียนครั้งเดียวสามารถตีพิมพ์ได้อีกหลายครั้ง
หลักการสำคัญประการถัดมาคือ การมองโลกว่าเป็นการต่อสู้ และการเอาชนะได้นั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องเก่งที่สุด เพียงแต่ต้องเก่งกว่าคู่แข่งให้ได้เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
ถัดมาคือการเข้าใจในยีนหรือความต้องการของมนุษย์ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจได้ว่าธุรกิจแบบไหนจะเป็นที่ต้องการของคนทั่วไป และบริษัทแบบไหนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง โดยยกตัวอย่างกรณีของ Louis Vuitton กระเป๋าแบรนด์เนมหรูที่หลายคนเลือกซื้อเพื่อบ่งบอกฐานะ
ประการสุดท้ายคือ เรื่องของการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ ดร.นิเวศน์มองว่านักลงทุนเป็นอาชีพที่ยิ่งแก่ยิ่งเก่ง เพราะมีประสบการณ์ในการมองโลกมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ หากยังคงมีความรู้เท่ากับเมื่อ 10-20 ปีก่อน ก็จะไม่สามารถสู้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ได้
ตลาดหุ้นไทยเมื่อ 20 ปีก่อนเป็นตลาดที่ยังไม่ได้พัฒนามากนัก ก่อนวิกฤตปี 2540 แทบจะยังไม่มีบทวิเคราะห์ เมื่อก่อนหุ้นไทยยังไม่มีคู่แข่งมากนัก แต่นาทีนี้ทุกคนจับตาดูกำไรของบริษัทอยู่ตลอด มองเรื่องความได้เปรียบในการแข่งขัน ความยั่งยืนของธุรกิจ และรับรู้ข่าวสารได้ทั่วถึง
“ช่วงเข้าตลาดแรกๆ คุณภาพของบริษัทยังไม่สัมพันธ์กับราคาหุ้น เพราะในเวลานั้นไม่มีพูดถึงเรื่อง Super Stock ไม่ได้พูดถึงความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นไทยมากนัก อย่างในหนังสือตีแตกผมก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย แต่เน้นเรื่องความถูกและความแพงเสียมาก”
อย่างไรก็ดี เรื่องมูลค่าหุ้นยังคงเป็นสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ให้ความสำคัญอยู่ตลอด แม้ว่าย้อนหลังกลับไป 2-3 ปี ก็จะยังคงไม่ลงทุนในหุ้นไทยมากนัก เพราะราคายังคงแพงเกินไป ปัญหาหนึ่งในปัจจุบันคือการทำให้คุณภาพของบริษัทดูดีเกินจริง จนทำให้ P/E ของหุ้นวิ่งขึ้นไปสูง
ในมุมของ ดร.นิเวศน์ยังคงเชื่อว่าหุ้นเวียดนามจะเป็นโอกาสของการลงทุนระยะยาว เพราะหุ้นเวียดนามในเวลานี้ยังมีหุ้นที่มีโอกาสจะเป็น Super Stock ซึ่งมี P/E 13-15 เท่า ในขณะที่ครองส่วนแบ่งในตลาดค่อนข้างมาก โดยส่วนตัว ดร.นิเวศน์ถือครองหุ้นเวียดนามอยู่ราว 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด
จุดเปลี่ยนสำคัญของหุ้นเวียดนามคือ การที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะขยับจาก Frontier Market มาเป็น Emerging Market ซึ่ง ดร.นิเวศน์มองว่าจะเกิดขึ้นในอีกประมาณ 2 ปี และหากเป็นเช่นนั้นจริง เราอาจเห็นเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในเวียดนามในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนได้กว่า 2 แสนล้านบาท