จอน ฟอสต์ อดีตที่ปรึกษาคนสำคัญของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ออกมาเตือนว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านถือเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ที่คาดเดาได้ยากสำหรับ Fed และอาจเป็นชนวนที่จุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยได้ แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่แน่ชัด
คำเตือนนี้มีขึ้นในขณะที่คณะกรรมการ Fed เตรียมประชุมกำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในวันอังคารและพุธ (17-18 มิ.ย.) ที่จะถึงนี้
“ตราบใดที่ความขัดแย้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และซ้ำเติมความไม่แน่นอนและความเชื่อมั่น นี่คือสิ่งที่จะเป็น ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงได้” ฟอสต์ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิชาการที่ศูนย์เศรษฐศาสตร์การเงิน มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ MarketWatch
“ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักเกิดขึ้นจากแรงกระแทกบางอย่างที่กระทบกระเทือนผู้บริโภคและภาคธุรกิจอย่างรุนแรง เราอาจกำลังเห็นปัจจัยนั้นก่อตัวขึ้นในตะวันออกกลางขณะนี้ ซึ่งทำให้สถานการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากขึ้นเล็กน้อย”
เป็นที่คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า ในการประชุมสัปดาห์นี้ คณะกรรมการ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% – 4.5% ต่อไปเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน
ฟอสต์ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับอดีตประธาน Fed อย่างเบน เบอร์นันเก และเจเน็ต เยลเลน มาก่อน ชี้ว่าคำถามที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการประชุมครั้งนี้คือ พาวเวลล์จะให้ความกระจ่างมากขึ้นหรือไม่ ว่าความเสี่ยงระหว่างเงินเฟ้อที่อาจปะทุขึ้นกับตลาดแรงงานที่อาจอ่อนแอลง อะไรน่ากังวลกว่ากันในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์
เขาตั้งข้อสังเกตว่า จนถึงขณะนี้ Fed ยังไม่ได้เอนเอียงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน พาวเวลล์เคยแสดงความกังวลว่านโยบายภาษีของทรัมป์ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้นั้น มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นหรือตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง ทำให้ ‘สถานการณ์เปราะบาง’ ยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เพิ่มการวิจารณ์พาวเวลล์อย่างรุนแรงบนโซเชียลมีเดียและในการให้สัมภาษณ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญของทำเนียบขาวเพื่อผลักดันให้ลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ฟอสต์มองว่าแม้การถูกวิจารณ์จะไม่เป็นเรื่องน่ายินดี แต่การวิจารณ์ดังกล่าว ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับทิศทางนโยบายของ Fed
ก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม เจ้าหน้าที่ Fed ได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ แต่บรรดาผู้ติดตาม Fed ต่างจับจ้องว่าการคาดการณ์ใหม่ในสัปดาห์นี้จะแสดงจำนวนครั้งที่น้อยลงหรือไม่
สำหรับข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดของเดือนพฤษภาคมที่ออกมาต่ำกว่าคาด ฟอสต์มองว่ายังไม่ได้เปิดประตูให้ Fed ดำเนินการเร็วขึ้น เพียงแต่ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับ ‘กรณีที่เลวร้ายที่สุด’ ของเงินเฟ้อลงได้บ้าง แต่ “ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เกี่ยวกับภาษี”
เขายังมองว่าการที่ Fed จะไม่เคลื่อนไหวเรื่องดอกเบี้ยเลยในปีนี้ อาจเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน ยกเว้นประธานาธิบดี เพราะนั่นหมายความว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งและเศรษฐกิจยังไม่ได้อ่อนแอลงจนต้องลดดอกเบี้ย
ฟอสต์คาดการณ์ว่า ข้อมูลต่างๆ ไม่น่าจะสนับสนุนให้มีการลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ได้ เนื่องจากภาพความไม่แน่นอนของนโยบายภาษียังไม่ชัดเจน และเขามองว่ามีโอกาส 50/50 ที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
“ความเป็นไปได้นั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากความไม่แน่นอนของโลก แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะได้เห็นการลดดอกเบี้ยในปีนี้อย่างแน่นอน” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายต้อง ‘จับตาอย่างใกล้ชิด’ ต่อไป
ภาพ: Gary Hershorn/Getty Images
อ้างอิง: