นักวิเคราะห์ชี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ในช่วงขาขึ้น ผู้เล่นหน้าใหม่เปิดศึกชิงส่วนแบ่งตลาด Tesla พร้อมเข็น EV หลายโมเดล ชูราคาเข้าถึงง่าย สร้างยอดขาย
สถานีโทรทัศน์ CNN รวบรวมความเห็นจากนักวิเคราะห์ตลาดและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์ที่เห็นตรงกันว่า แม้สัดส่วนของรถยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะยังมีมากอยู่ แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ในตลาดทั่วโลกก็ขยับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ของปริมาณความต้องการ ค่ายผู้ผลิตกับโมเดลรถที่หลากหลาย และช่วงราคาที่เริ่มเอื้อมถึงได้มากขึ้น
Matt Degen บรรณาธิการของ Cox Automotive ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ และบริษัทเกี่ยวกับรถยนต์หลายแห่ง กล่าวว่า ทุกวันนี้ Tesla ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้าค่ายเดียวที่ครองถนนอีกต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘Tesla’ ประกาศหั่นราคาขายในตลาดจีน 9% กูรูหวั่นจุดชนวนสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า
- ยุโรปปูพรมแดงต้อนรับ BYD เข้าตั้งฐานการผลิต ฟากแบรนด์ผลิตรถยนต์เจ้าถิ่นอาจอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป
- สตาร์ทอัพ ‘รถยนต์ไฟฟ้าจีน’ เนื้อหอม โกยเงินลงทุนจาก Venture Capital ไปกว่า 6 พันล้านดอลลาร์
ในส่วนของยอดขาย ข้อมูลจาก Kelley Blue Book พบว่า รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 5.6% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมดที่จำหน่ายในปี 2021 แม้อาจฟังดูไม่มาก แต่ล่าสุดในปี 2019 ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่เพียง 1.4% เท่านั้น
Corey Cantor นักวิจัยจาก BloombergNEF กล่าวว่า จากประสบการณ์ในตลาดโลกอื่นๆ โดยเฉพาะนอร์เวย์ ส่วนแบ่งการตลาด 5% ดูเหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับการนำไปใช้ในวงกว้างต่อไปได้ โดยตลาดอื่นๆ เช่น จีน และยุโรป โดยรวมแล้วมีแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน อีกทั้งทาง Bloomberg ยังได้รวมรถปลั๊กอินไฮบริดไว้ในจำนวน ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ แต่ส่วนใหญ่เป็นรุ่นที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ล้วนๆ
ทั้งนี้ แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าทำไม 5% ดูเหมือนจะเป็นจุดที่ยอดขาย EV พุ่งสูงขึ้น แต่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งอธิบายว่าน่าจะเป็นเพราะตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าบางสิ่งเริ่มดูเหมือนปกติแล้ว
ตัวอย่างเช่น ข้อมูลของ Cox Automotive พบว่า ส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมของ Hyundai ในอเมริกา นั้นใกล้เคียงกับส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า และการซื้อ Hyundai ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ ในกรณีของรถยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มจะเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปที่จะเห็นรถ EV แล่นตามท้องถนน ซึ่งมุมมองดังกล่าวช่วยให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่พิจารณาซื้อได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องหาซื้อได้ง่ายขึ้น โดย Cantor กล่าวว่า ขณะนี้มีดีมานด์ที่แน่นอน เพียงแต่ปัญหาที่มีคือปัญหาส่วนของอุปทานหรือการผลิตที่ทางค่ายผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถจัดส่งได้เพียงพอต่อความต้องการ
อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาการจัดหาชิ้นส่วนที่ทำให้การผลิตยานพาหนะทุกประเภทชะลอตัวลง กระนั้นก็มีรถรุ่นไฟฟ้าจำนวนหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าได้รับความนิยมเกินกว่าที่ผู้ผลิตเตรียมไว้ให้ เช่น Mustang Mach-E จากค่าย Ford ซึ่งออกสู่ตลาดในปี 2021 ที่กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่ครองส่วนแบ่งตลาด EV ที่มีเจ้าตลาดอย่าง Tesla ครองอยู่
Darren Palmer รองประธานฝ่ายโครงการรถยนต์ไฟฟ้าของ Ford กล่าวว่า Mach-E กว่า 150,000 คันที่ Ford ผลิตนั้นถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งของลูกค้าโดยเฉพาะ ไม่มีคันใดเลยที่ผลิตมาเพียงเพื่อเติมให้กับตัวแทนจำหน่าย และตอนนี้รถยนต์ EV ดังกล่าวขายหมดเกลี้ยงแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่หลังจากนั้นผู้บริโภคจะได้เห็นโมเดลรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ของ Ford ตามออกมา
ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ Ford เท่านั้นที่เข็นโมเดลรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกมาหลายรุ่น ค่ายรถยนต์ต่างๆ ก็แข่งกันเข็นโมเดลออกมาให้เลือกมากมายด้วยราคาที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจซื้อไม่มีเงื่อนไขใดๆ ขัดขวาง โดยข้อมูลจาก Kelley Blue Book พบว่า จากเดิมที่มี EV 11 รุ่นขายอู่ในตลาดในปี 2019 ปัจจุบัน มีรถยนต์ EV ถึง 26 รุ่น จากค่ายรถยนต์เดิม และค่ายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ เช่น Hyundai, Kia, Rivian, General Motors, Audi, BMW, Mercedes, Genesis และ Volvo
Tony Quiroga หัวหน้าบรรณาธิการของ Car and Driver กล่าวว่า นอกจากจะมีราคาที่ถูกลงแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าก็มีประสิทธิภาพที่มากขึ้น ด้วยระยะการขับขี่ที่ยาวนานขึ้น และการชาร์จที่ใช้เวลาสั้นลง
ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่าความหลากหลายของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะออกสู่ตลาดในปีหน้า เมื่อรวมกับการบรรเทาปัญหาการผลิตที่ขัดขวางการผลิตรถยนต์โดยรวมในปีนี้ น่าจะช่วยให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ยิ่งเมื่อมีปัจจัยด้านราคาพลังงานเข้ามาหนุน ก็น่าจะทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด
กระนั้น ราคาพลังงานที่เริ่มปรับตัวลดลง อาจทำให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ประวิงเวลาออกไปก่อน เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้จำเป็นต้องสงวนค่าใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็นมากกว่า และทำให้ผู้บริโภคในตลาดส่วนใหญ่ต้องใช้ความระมัดระวังในการก่อหนี้ของตนเอง ยิ่งเมื่อบวกกับมาตรการบรรเทาเงินเฟ้อของภาครัฐ ก็ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน การยืดเวลาซื้อรถ EV ออกไปก่อนจึงเป็นแนวโน้มที่น่าจะเห็นได้มากที่สุดในปี 2023
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้วหลายฝ่ายเชื่อว่า ตลาด EV นับต่อจากนี้จะสามารถขยายตัวเติบโตอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างแน่นอน
แม้ว่าภาพของตลาด EV จะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เจ้าตลาดอย่าง Tesla ดูจะไม่ได้รับอานิสงส์จากข่าวดีแม้แต่น้อย โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ หุ้นของ Tesla ปรับตัวลดลงไปแล้วเกือบ 70% และพร้อมที่จะปิดท้ายปีด้วยการทำสถิติหุ้น 5 อันดับท้ายของตารางที่ร่วงลงหนักสุดในรอบปีของดัชนี S&P 500
สำนักข่าว AP รายงานว่า ในขณะที่ Tesla มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัญญาณของอุปสงค์ที่ลดลง และการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนกังวลมากขึ้น แถมจากนั้นยังมีการซื้อกิจการ Twitter ของ Elon Musk บวกกับการกระทำบางอย่างของ Musk ที่ไม่ค่อยเหมาะสมนับตั้งแต่เข้าครอบครองบริษัทสื่อสังคมออนไลน์
รวมถึงการยกเลิกโครงสร้างการกลั่นกรองเนื้อหาที่สร้างขึ้น เพื่อจัดการกับคำพูด
แสดงความเกลียดชัง และปัญหาอื่นๆ บนแพลตฟอร์ม ทำให้ผู้โฆษณาของ Twitter ตกใจ และปิดผู้ใช้บางราย ซึ่งทั้งหมดส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเจ้าตัว จนทำให้นักลงทุนบางส่วนเทขาย Tesla
แม้ว่าผลลัพธ์ของ Tesla ในปีนี้จะยังแข็งแกร่ง และมีกำไรกับการเติบโตของรายได้ตลอดช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2022 รวมถึงกำไรไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า
ถึงกระนั้นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ จากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ก็เริ่มที่จะเข้ามาครองตลาด EV ของสหรัฐฯ ของ Tesla ตั้งแต่ปี 2018 ถึงปี 2020 Tesla มีตลาด EV ประมาณ 80% แต่ส่วนแบ่งดังกล่าวลดลงเหลือ 71% ในปี 2021 และลดลงอย่างต่อเนื่อง
ตามข้อมูลจาก S&P Global Mobility ส่งผลให้ Tesla ต้องเข้ามาแข่งขันมากขึ้น อย่างการเริ่มเสนอส่วนลดจนถึงสิ้นปีสำหรับรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุด 2 รุ่น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ากำลังชะลอตัว
อ้างอิง: