ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกต่างฟื้นตัวกลับขึ้นจากจุดต่ำสุดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ซึ่งก็รวมถึงตลาดหุ้นในกลุ่มยุโรปที่ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดได้ค่อนข้างโดดเด่น อย่างดัชนีของ 3 ตลาดหลัก ได้แก่ DAX เยอรมนี +57.81%, CAC40 ฝรั่งเศส +46.51% และ FTSE100 อังกฤษ +25.55% ขณะที่ดัชนี Euro Stoxx 50 ก็ปรับตัวขึ้นได้ 48.71%
แม้ว่าอัตราการฟื้นตัวในรอบปีของยุโรปจะโดดเด่นไม่แพ้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดีกว่าตลาดหุ้นจีนโดยภาพรวม แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้วจะเห็นว่าตลาดหุ้นยุโรปเพิ่งจะกลับขึ้นมาได้เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 เท่านั้น ในขณะที่ตลาดหุ้นจีน สหรัฐฯ และอีกหลายๆ ตลาดสามารถพุ่งขึ้นไปสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 ได้แล้ว
รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง เปิดเผยว่าการฟื้นตัวได้แรงของยุโรปในรอบปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นยุโรปรวมถึงภาคเศรษฐกิจจริงที่ติดลบลงไปค่อนข้างมาก แต่ปัจจัยบวกล่าสุดคือธนาคารกลางยุโรปจะเพิ่มวงเงินการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ทำให้ภาพของการลงทุนในยุโรปน่าสนใจมากขึ้น
หลังจากที่หุ้นยุโรปฟื้นตัวกลับขึ้นมาระดับหนึ่ง ทำให้ราคาหุ้นยุโรปอาจจะไม่แพง แต่ก็ไม่ได้ถูกมากนัก อย่าง Euro Stoxx 50 มีค่า P/E ปีนี้ที่ราว 19 เท่า ในระยะถัดไปอาจจะเห็นการค่อยๆ ปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้น Value แต่ความน่าสนใจของการเติบโตอาจจะสู้สหรัฐฯ จีน ฮ่องกง หรือเวียดนามไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หุ้นสหรัฐฯ และจีนปรับฐานลงมาบ้างแล้ว
“หุ้นยุโรปอาจได้อานิสงส์จากการเปลี่ยนธีมลงทุนมาหาหุ้น Value อยู่บ้าง แต่ส่วนตัวยังมองว่าหุ้น Value ในสหรัฐฯ น่าสนใจมากกว่า อย่าง Coca-Cola หรือ Starbucks ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน รวมถึงแรงหนุนจากนโยบายของไบเดนที่จะสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ ครั้งใหญ่”
อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่สนใจจะกระจายการลงทุนไปยังหุ้นยุโรปผ่านกองทุนรวม แนะนำลงทุนผ่านกองทุน ETF อย่าง Vanguard FTSE Europe ETF (VGK) ซึ่งเน้นกระจายการลงทุน 16 ประเทศในยุโรป ผ่านหุ้นทั้งหมด 1,200 บริษัท ซึ่งกองทุนนี้มีค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างต่ำเพียง 0.08%
ส่วนอีกกองทุนที่น่าสนใจคือ SPDR Euro Stoxx 50 ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้น 50 อันดับแรกของยุโรป ขณะที่ค่าธรรมเนียมจะสูงกว่ากองทุนแรกที่ 0.29%
กองทุนหุ้นยุโรปช่วง 1 ปีที่ผ่านมาถือเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่น โดยกองทุนกองทุนอันดับต้นๆ ให้ผลตอบแทนสูงถึงกว่า 50% ขณะที่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีนี้ยังดีต่อเนื่องในระดับ 7-9%
ด้าน วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Investment Management บลจ.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในฝั่งยุโรปค่อนข้างเร็วกว่าที่คาดไว้ และยังไม่เห็นการพักฐานอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การรอจังหวะเพื่อเข้าซื้อในช่วงพักฐานจะน่าสนใจมากกว่า
ทั้งนี้ ในระยะถัดไปแรงซื้อที่จะเข้ามาในหุ้นยุโรปคงเน้นไปที่กลุ่มหุ้นวัฏจักรเป็นหลัก ในขณะที่หุ้น Growth ทางฝั่งของสหรัฐฯ ยังคงโดดเด่นกว่า
“การฟื้นตัวกลับขึ้นมาเร็วทำให้หุ้นยุโรปไม่ได้ Laggard มากแล้ว แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่ม High Growth จะขึ้นได้โดดเด่นกว่า ส่วนตัวมองว่าการรอให้เกิดการปรับฐานก่อนน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะยุโรปเองยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องของบอนด์ยีลด์ที่ยังไม่ปรับขึ้น หากท้ายที่สุดแล้วปรับขึ้นตามสหรัฐฯ ก็มีโอกาสจะเห็นแรงขายในตลาดหุ้นตามมา”
อย่างไรก็ดี การปรับฐานของยุโรปไม่น่าจะรุนแรงนัก ด้วยคาดการณ์เงินเฟ้อที่ไม่น่าจะพุ่งขึ้นเร็ว และยังน่าจะเห็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบต่อเนื่อง
ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์