×

ปัจจัยทำตราไก่พ่าย / ปัญหาที่ตามมาของสวิส / สเปนรุกชัวร์รั่วหลัง

โดย THE STANDARD TEAM
29.06.2021
  • LOADING...
ปัจจัยทำตราไก่พ่าย

หลังจาก 2 เกมอันยาวนานเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้เราได้อีก 2 ชาติที่จะเดินหน้าไปต่อในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยชาติอันดับ 5 คือสเปน ที่เอาชนะโครเอเชียรองแชมป์โลกหลังต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที 5-3 (ในเวลาปกติ 90 นาที เสมอกัน 3-3) และอีกชาติคือสวิตเซอร์แลนด์ ที่เอาชนะแชมป์โลกอย่างฝรั่งเศสในช่วงการดวลลูกที่จุดโทษ 5-4 หลังเสมอในเวลา 120 นาที 3-3 ซึ่งนั่นหมายความว่าเราไม่มีทั้งแชมป์โลก, รองแชมป์โลก รวมไปถึงแชมป์ยุโรปและรองแชมป์ยุโรปในรายการนี้อีกต่อไปแล้ว และนี่คือประเด็นจากเกมที่ผ่านมา

 

อะไรทำให้ฝรั่งเศสหยุดเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย

 

คำว่า ‘เหนือความคาดหมาย’ สามารถถูกใช้ได้อย่างเต็มที่ เต็มปาก เต็มคำ หลังการตกรอบแบบเหนือการคาดฝันของทีมชาติฝรั่งเศส ทำให้ภายในค่ำคืนเดียว ทีมแชมป์โลกและรองแชมป์โลกของฟุตบอลโลก 2018 มีอันต้องกระเด็นตกรอบไปพร้อมๆ กัน แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือคำถามที่ว่า ทำไมทีมที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งของการแข่งขันมีอันต้องร่วงตกรอบไปเร็วขนาดนี้

 

อันที่จริงฟอร์มฝรั่งเศสไม่ได้เพิ่งมาไม่ดี พวกเขาแสดงให้เห็นตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแล้วว่า ทีมชุดนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าทีมชุดแชมป์โลก หากแต่ถูกคำว่า ‘Group of Death’ บดบังทำให้ไม่เห็นความจริงแบบที่มันควรจะเป็น ทั้งในเกมกับฮังการีที่พวกเขาควรจะเก็บ 3 คะแนนเต็มได้แม้ว่าฝั่งเจ้าบ้านจะเล่นดีขนาดไหนก็ตาม ส่วนในเกมโปรตุเกสนี่ยิ่งชัดว่าทั้งเกมรุกของพวกเขาก็ไม่ได้เด็ดขาดขนาดที่ฆ่าทัพฝอยทองได้ทั้งที่มีโอกาส ส่วนเกมรับก็พลาดให้คู่แข่งได้ และนั่นเป็นอีกครั้งที่ชื่อเสียงในเกมบุกของโปรตุเกสทำให้ความผิดพลาดในเกมรับของฝรั่งเศสถูกตีค่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

 

คีเลียน เอ็มบัปเป้ กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ ลงเล่น 390 นาที ยิงไปอีก 14 ช็อต แต่ไร้ประตูแม้แต่ลูกเดียว ขณะที่แนวรับของพวกเขาก็เสียไปถึง 6 ประตู จาก 4 นัด ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่พวกเขาเสียในฟุตบอลโลกตลอดทัวร์นาเมนต์ ซึ่งปัจจัยหลักมาจากปัญหาอาการบาดเจ็บของแบ็กซ้ายที่เจ็บไปพร้อมกัน ทั้ง ลูคัส เอร์นานเดซ และ ลูคัส ดีญ ทำให้ในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ ฝั่งซ้ายนอกจากจะขึ้นเกมไม่ได้แล้วบางครั้งยังโดนเล่นงานด้วย

 

มีการวิพากษ์วิจารณ์ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ตั้งแต่มีการประกาศรายชื่อ 26 คนสุดท้าย ว่าเขามั่นใจเกินไปที่ใส่ชื่อกองหน้าติดทีมถึง 8 คน และในแนวรับ นักเตะบางคนก็ไม่ควรจะติดทีมชาติอย่าง เกลมองต์ ลองเลต์ หรือ ลีโอ ดูบัวร์ แต่นักเตะที่โชว์ฟอร์มดีอย่าง ดาโยต์ อูปาเมกาโน หรือ เธโอ เอร์นานเดซ กลับไม่ติดทีมชาติชุดนี้ ซึ่งสุดท้ายปัญหาการเรียกตัวทีมรับที่ไม่ลงตัวก็กลับมาทำร้ายพวกเขาในท้ายที่สุดจริงๆ

 

นี่อาจจะเป็นบทเรียนสำคัญให้ ‘เดเด้’ และทีมชาติฝรั่งเศส ได้เรียนรู้และปรับปรุง เพราะในอีกเพียง 1 ปีข้างหน้า พวกเขาก็ต้องกลับไปป้องกันแชมป์โลกที่กาตาร์ ซึ่งถ้าหากการเรียกตัวนักเตะยังมีนักเตะที่ไม่พร้อมจะถูกใช้งานอยู่ในทีมเช่นนี้ การป้องกันแชมป์โลกก็อาจจะเป็นงานยากเหมือนกัน

 

ผลกระทบจากการล้มแชมป์โลกของสวิตเซอร์แลนด์

 

แม้สวิตเซอร์แลนด์โชว์สปิริตและความใจสู้ในการเอาชนะฝรั่งเศสในช่วงการดวลลูกที่จุดโทษ พร้อมเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับสเปนได้ แต่การรับมือกับรอบต่อไปอาจจะเป็นงานที่ยากกว่าที่จะเล่นกับฝรั่งเศสด้วยซ้ำ เพราะนอกจากฟอร์มการเล่นที่เหมือนจะอยู่ในช่วง ‘จุดติด’ ของทัพ ‘กระทิงดุ’ แล้ว อีกอย่างที่ต้องเอามาพิจารณาเป็นปัจจัยสำคัญคือตัวผู้เล่นของพวกเขาเอง

 

กรานิต ชากา จะไม่สามารถลงสนามรับใช้ทีมได้ในเกมที่จะพบกับสเปนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแน่นอนแล้ว หลังสะสมใบเหลืองครบโควตา ทำให้จะต้องติดโทษแบน 1 เกม ขณะที่นักเตะคนอื่นๆ อย่าง บรีล เอ็มโบโล, เควิน เอ็มบาบู, ฟาเบียน แชร์, มานูเอล อคานยี, ริคาร์โด โรดริเกวซ, นิโค เอลเวอร์ดี และ มาริโอ กาฟราโนวิช ก็มีใบเหลืองคาดโทษอยู่ทั้งหมด อาจจะทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังตัวในการเล่นในเกมนี้เป็นพิเศษเช่นกัน

 

จะเห็นว่านักเตะคนสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์มีใบเหลืองคาดโทษเกินครึ่งทีม ดังนั้นความหนักหน่วงในการตัดเกมที่พวกเขาใช้เอาตัวรอดมาตลอดหลังจากพบกับอิตาลีจนมาถึงเกมกับฝรั่งเศส อาจจะไม่ได้ถูกงัดเอามาใช้ได้อีกโดยไม่คิดในเกมกับสเปน หาไม่แล้ว ต่อให้ผ่านเข้ารอบไปไม่ว่าจะพบกับอิตาลีหรือเบลเยียมที่รออยู่จากอีกสายก็อาจจะเป็นงานยากไม่ต่างกันอยู่ดี

 

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยสวิตเซอร์แลนด์ยังโชคดีที่ไม่มีนักเตะต้องเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บ และสไตล์การเล่นของพวกเขาก็จะทำให้สเปนคิดมากในการรับมือได้อยู่เหมือนกัน เพราะทีมของ วลาดิเมียร์ เพ็ตโควิช ไม่ได้มาเล่นรับให้คู่แข่งไล่ขย่มใส่ แต่พวกเขามีเกมรุกที่น่ากลัวแฝงอยู่ด้วย ดังนั้นในเกมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก วันที่ 2 กรกฎาคมนี้ น่าจะเป็นเกมที่สนุกอีกเกมหนึ่งแน่นอน

 

รูรั่วที่สเปนทำไว้ให้เห็นแม้จะคว้าชัยเหนือโครเอเชีย

 

แม้จะเอาชนะโครเอเชียผ่านเข้ารอบมาได้แต่สเปนก็มีรอยเลือดหยดลงมาให้เห็น เฉกเช่นอิตาลีที่โดนออสเตรียเผยไต๋ว่าจะหยุดพวกเขาได้อย่างไร โครเอเชียก็เผยไต๋ของสเปนไม่ต่างกัน แม้จะเป็นทีมที่ทำเกมรุกได้อย่างจัดจ้านและดุดัน แต่โครเอเชียก็ชี้จุดอ่อนให้สวิตเซอร์แลนด์ได้เห็นว่าทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก มีจุดอ่อนมโหฬารอยู่ที่เกมรับอันค่อนข้างหละหลวมและพร้อมจะเสียประตูได้ตลอด

 

สเปนเคยมีแนวรับที่แข็งแกร่งอย่าง เคราร์ด ปิเก้ และ เซร์คิโอ รามอส คอยประจำการ แต่หลังจากที่ปิเก้อำลาทีมชาติ เอ็นริเกก็ไม่เรียกรามอสมาร่วมทีมชุดนี้ ทำให้คู่แนวรับในทัวร์นาเมนต์นี้กลายเป็นคู่หูจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่าง อายเมอริค ลาปอร์ต กับ เอริค การ์เซีย ซึ่งใน 2 เกมที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นพอสมควรว่ามีช่องให้เจาะได้อยู่ และทั้ง 2 นัด เอ็นริเกก็เปลี่ยนตัวการ์เซียออกในนาทีที่ 71 และเอา เปา ตอร์เรส ลงไปแทนในช่วงท้ายเกม

 

นอกจากนี้แบ็กทั้ง 2 ข้าง อย่าง โฆเซ กายา และ เซซาร์ อัซปิลิกวยตา ก็มักจะเติมเกมบุกอยู่อย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าตรงนี้มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แม้ว่าจะเพิ่มโอกาสการทำประตูให้กับทีม แต่การที่ใช้แบ็กเน้นบุกลงมาเล่นก็ทำให้เราเห็นว่าท้ายเกม โครเอเชียที่ขึ้นเกมมาจากด้านข้างเล่นงานสเปนได้อย่างไรบ้าง ซึ่งสวิตเซอร์แลนด์ที่มีปีกจอมแอสซิสต์ อย่าง สตีเวน ซูเบอร์ อาจจะอาศัยข้อได้เปรียบตรงนี้ในการเล่นงานทัพกระทิงดุได้

 

ดังนั้นเกมระหว่างสเปนกับสวิตเซอร์แลนด์ ที่จะเป็นเกมเปิดสนามในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในวันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคมนี้ ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเกมที่สนุกและตื่นเต้นที่สุดในรอบนี้เลยก็ได้

 

พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X