หากนับตั้งแต่ปี 2558 จะพบว่านักลงทุนต่างประเทศได้ทยอยขายหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 8 แสนล้านบาทอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายๆ ประการ และมีแนวโน้มสูงขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะ MSCI Index ซึ่งเป็น Index หลักที่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจสัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเทศได้มีการปรับสัดส่วนในการลงทุนในหุ้นจีนสูงมากขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียที่ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศแถบเอเชียอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยลงอย่างมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าไม่รวมประเทศจีน น้ำหนักของหุ้นไทยคิดเป็นสัดส่วนของ MSCI Asia ex Japan Index เพิ่มสูงขึ้นเสียด้วยซ้ำ หากแนวโน้มในการลงทุนของ MSCI ยังเป็นอย่างนี้ต่อไปในอนาคต ประเทศไทยคงอยู่ในฐานะที่น่าเป็นห่วงเลยทีเดียว
แต่เรื่อง ESG ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในสายตานักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ จากข้อมูลล่าสุดของ Morningstar Direct ยอดการลงทุนในหุ้น ESG (Global Sustainable Fund Flows) ทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์หรัฐในไตรมาสที่ 3/63 และสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งทำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับ ESG สูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วย
ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือบริษัทลงทุนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง BlackRock ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของ ESG เป็นอย่างมาก และตั้งเป้าที่จะใช้ข้อมูล ESG เข้ามาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการตัดสินใจการลงทุนเพิ่มจาก 70% ของหุ้น ณ เดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็น 100% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่ง แลร์รี ฟิงก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท BlackRock ได้พูดถึงความสำคัญของ ESG ในงาน Morningstar Investment Conference ว่าเหตุการณ์ในโลกในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า อุทกภัยจากพายุ สภาพอากาศที่ร้อนผิดปกติ ล้วนเป็นตัวอย่างของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงในการลงทุนที่ชัดเจน และเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของนักบริหารเงินที่จะต้องสอนให้นักลงทุนเห็นถึงความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศต่อผลตอบแทนในการลงทุนในระยะยาว
สถิติมูลค่าสินทรัพย์หุ้น ESG ทั่วโลกรายไตรมาส (หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
Quarterly Global Sustainable Fund Assets (USD Billions)
ซึ่งในเรื่องของการลงทุนในหุ้น ESG นั้น DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ก็เป็น Index หลักที่นักลงทุนในกลุ่มหุ้น ESG ให้ความสำคัญเช่นกัน ซึ่งจาก 1,386 บริษัทที่เข้าร่วมการประเมินในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนของไทยก็มีผลงานไม่น้อยหน้าประเทศอื่นเลยทีเดียว มีบริษัทไทยถึง 11 บริษัทได้รับการประเมินให้อยู่ใน DJSI World Index และมีบริษัทไทยถึง 7 บริษัทที่ได้รับการประเมินให้ได้คะแนนสูงสุดใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรม จากทั้งหมด 61 กลุ่มอุตสาหกรรมเลยทีเดียว เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกาที่มีบริษัท 11 บริษัทเป็นผู้นำอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ในส่วนของ DJSI Emerging Markets สำหรับตลาดเกิดใหม่ก็ยังมีบริษัทจดทะเบียนไทยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกถึง 21 บริษัท คิดเป็นสัดส่วนการลงทุนมากกว่า 10% ของ DJSI Emerging Markets เลยทีเดียว ซึ่งผลสำเร็จของบริษัทจดทะเบียนไทยในการเข้าสู่ระดับโลกในเรื่องของความยั่งยืนนี้ก็น่าจะเป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนในตลาดทุนโลกมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนไทยในระดับโลกอีกด้วย
เพื่อความสะดวกสำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้น ESG ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้รวบรวมข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียนไทยไว้ที่ https://www.settrade.com/settrade/esg-information?select=all นอกจากนี้ทางฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังได้ทำการวิจัยถึงแนวทางการใช้ข้อมูล ESG ในการสร้างพอร์ตการลงทุนและได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว คอยติดตามกันได้จาก SET Note Volume 11/2563 ที่จะประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเร็วๆ นี้
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์