Eric Clapton: Life in 12 Bars ภาพยนตร์สารคดีเล่าเรื่องของ เอริก แคลปตัน (Eric Clapton) มือกีตาร์ชาวอังกฤษ เจ้าของฉายา ‘Slowhand’ นักร้องเพียงคนเดียวที่ได้รับเสนอชื่อเข้า The Rock and Roll Hall of Fame ถึง 3 ครั้ง ในฐานะศิลปินเดี่ยว ศิลปินวง The Yardbirds และวง Cream โดยเรื่องราวในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้บอกเล่าผ่านบุคคลใกล้ชิดของเขา รวมไปถึง จิมมี่ เฮนดริกซ์ และ จอร์จ แฮร์ริสัน ที่สำคัญ Eric Clapton: Life in 12 Bars กำกับโดย ลิลี่ ฟินิ ซานัก โปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เรื่อง Driving Miss Daisy (1989)
ก่อนที่จะประสบความสำเร็จและก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินยอดฝีมือ เส้นทางชีวิตของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เอริก แคลปตัน เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1945 คุณแม่วัย 16 ปี ส่วนพ่อเป็นทหารชาวแคนาดาที่กลับไปหาครอบครัวตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก โชคดีที่คุณตาและคุณยายเต็มใจยื่นมือเข้ามาช่วยเลี้ยงดู จนทำให้เอริกคิดว่านี่คือพ่อแม่แท้ๆ เมื่อรู้ความจริงเรื่องนี้ เอริก แคลปตัน ในวัย 9 ขวบก็เศร้าเสียใจอย่างหนัก เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์และเลิกไปโรงเรียน ภายหลังเขาถูกส่งไปเรียนต่ออีกโรงเรียน และเข้าเรียนสาขาศิลปะที่ Hollyfield Road School
ในปี 1958 โลกถูกเขย่าด้วยดนตรีร็อกแอนด์โรล เอริกในวัย 13 ปีได้ขอของขวัญวันเกิดเป็นกีตาร์ เขาเห่ออยู่พักหนึ่งก่อนจะวางทิ้งไว้ พออายุได้ 16 ปี เอริกเข้าเรียนต่อที่ The Kingston College of Art เขาเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นกีตาร์และฟังเพลงบลูส์ จนขอร้องให้ปู่กับย่าซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้ ซึ่งเป็นกีตาร์ตัวที่นำพาให้เขาได้เข้าวงดนตรีแรก The Roosters และใช้ชีวิตศิลปินเต็มตัว ออกเล่นดนตรีตามเมืองต่างๆ
The Yardbirds
ด้วยความที่ชื่อเสียงการเล่นกีตาร์ของเขาเลื่องลือไปทั่ว ในปี 1963 เอริก แคลปตัน ได้เข้าเป็นสมาชิกวง The Yardbirds และช่วงเวลา 16 เดือนกับวง The Yardbirds นี่เองที่เขาได้รับฉายา Slowhand มาครอบครอง หลังจากนั้นในปี 1966 เอริกร่วมกับ แจ็ค บรูซ และจิงเจอร์ เบเคอร์ ฟอร์มวงชื่อว่า Cream ออกอัลบั้มและออกทัวร์ทั่วสหรัฐอเมริกา วงดนตรี Cream ออกผลงาน 3 อัลบั้มในเวลาสองปี ก่อนจะยุติวงไว้เพียงเท่านั้น
เรื่องรักเข้ามาทำร้าย ในปี 1970 เอริก ฟอร์มวงใหม่ Derek and the Dominos ร่วมกับ จิม กอร์ดอน, คาร์ล แรเดิล และ บ็อบบี้ วิตล็อก มีผลงานออกมาเพียงอัลบั้มเดียว ชื่อ Layla and Other Assorted Love Songs โดยมีเพลงฮิต Layla เพลงที่คล้ายเป็นจดหมายรัก บอกความรู้สึกของเขาที่มีต่อ แพตตี้ บอยด์ ภรรยาของจอร์จ แฮร์ริสัน วง The Beatles ความล้มเหลวในแง่ยอดขายของวง Derek and the Dominos รวมทั้งความโศกเศร้าในเรื่องรัก ทำให้เอริกติดเฮโรอีนอย่างหนัก และห่างหายจากวงไปนานถึง 3 ปี
ต้องขอบคุณ พีต ทาวน์เซนด์ แห่งวง The Who ที่ช่วยเหลือให้เขาเข้าบำบัดและกลับตัวเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในปี 1974 เอริกหวนกลับเข้าวงการ โดยมาพร้อมกับเพลงฮิตติดชาร์ตอันดับหนึ่ง ‘I Shot the Sheriff’ จากอัลบั้ม 461 Ocean Boulevard
ความหลงใหลในเพลงบลูส์และการเล่นกีตาร์ในแบบเฉพาะตัวทำให้เขามีสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร จนในช่วงปลายยุค 70s-80s เอริกได้เดินสายแสดงคอนเสิร์ตไปทั่วโลกและออกอัลบั้มที่ทำให้ผู้คนจดจำเขาได้อย่าง Slowhand (1977) และ Crossroads (1988)
เอริกแต่งงานกับ แพตตี้ บอยด์ ในปี 1979 เขาเลิกเสพเฮโรอีนแต่หันไปติดสุราแทน แพตตี้เลิกกับเขาในปี 1989 โดยให้เหตุผลว่าเอริกติดเหล้ามานานหลายปี ทั้งยังนอกใจเธอไปมีความสัมพันธ์กับนางแบบ-นักแสดงสาวชาวอิตาเลียน ลอรี่ เดล ซานโต้ จนมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ คอนนอร์
โศกนาฏกรรมชีวิตของเอริกยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ในปี 1991 เขาสูญเสีย คอนนอร์ ลูกชายวัย 4 ขวบไปจากการพลัดตกตึกที่นิวยอร์ก ความโศกเศร้าทำให้เขาแต่งเพลง Tears In Heaven ขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงการจากไป ซิงเกิลถูกปล่อยออกมาในปี 1992 เพลงนี้ได้รางวัลแกรมมี่ไปถึง 3 รางวัล นิตยสาร Rolling Stone จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 362 ของ 500 เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ทำให้เพลงนี้เป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตศิลปินของเขา
ในหนังสือ Clapton: The Autobiography เอริก แคลปตัน เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเพลง Tears In Heaven ไว้ว่า “ความยากลำบากที่สุดคือการผ่านชีวิตไปโดยไม่ทำอะไรเลย การเขียนเพลงเป็นเหมือนการบำบัด การเล่นกีตาร์เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาที่แท้จริง มันคงยากกว่านี้มาก ถ้าผมไม่เล่นกีตาร์”
อ้างอิง: