เอราวัณ การ์นิเยร์ คือใคร?
หลายคนอาจมีคำถามในใจหลังเห็นผลงานทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี โชว์ฟอร์มแกร่งเอาชนะอิรักไปได้ 2-0 ในศึกชิงแชมป์เอเชียเมื่อคืนที่ผ่านมา
และแน่นอนว่า หนึ่งในไฮไลต์ที่เกิดขึ้นในเกมดังกล่าวคือการที่ ‘เอราวัณ’ ได้ลงประเดิมสนามในสีเสื้อทีมชาติไทยเป็นตัวจริงในเกมนัดสำคัญ ทั้งที่บินลัดฟ้าจากฝรั่งเศสมาแคมป์ช้างศึกและอยู่ฝึกซ้อมในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ และสามารถทำ 1 แอสซิสต์สวยๆ ในเกมนี้ได้อีกด้วย
THE STANDARD SPORT ขอพาแฟนบอลไปทำความรู้จักกับเด็กหนุ่มผู้นี้ว่าเขาคือใคร เหตุใดฝีเท้าจึงได้จัดจ้านและน่าสนใจ จนถูกคาดหวังให้เป็นตัวหลักของทีมไทยในอนาคต
รู้จัก เอราวัณ การ์นิเยร์
เอราวัณ การ์นิเยร์ (Erawan Garnier) เป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส (คุณแม่เป็นคนไทย ส่วนคุณพ่อเป็นคนฝรั่งเศส) เขาเกิดในเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 5 มกราคม ปี 2006 ปัจจุบันอายุ 18 ปี สูง 180 เซนติเมตร เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งสังกัดทีมดังอย่าง ‘โอลิมปิก ลียง’
ในรั้วของทีมลียง เอราวัณถือเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่มีฝีเท้าจัดจ้านเกินวัย ทักษะเด่นๆ ของเจ้าตัวคือ การเลี้ยงบอลไปกับตัวได้ดี, มีความเร็วและความคล่องตัว นั่นทำให้เขาได้โอกาสลงสนามให้ทีมมาหลายระดับ ทั้งชุด U17, U19 และ U21
ส่วนตำแหน่งการเล่นเด็กหนุ่มคนนี้ถือเป็นแข้ง ‘สารพัดประโยชน์’ ที่เล่นได้หลากหลายตำแหน่ง แต่ส่วนใหญ่ในระดับสโมสร เจ้าตัวมักจะถูกจับให้ยืนเป็นริมเส้น แบ็กขวา-ปีกขวา เป็นส่วนใหญ่
ผลงานฤดูกาลปัจจุบัน
ด้วยฝีเท้าที่โดดเด่นเกินวัย ทำให้เอราวัณที่ส่วนใหญ่จะเล่นให้กับชุด U19 แล้ว ในบางโอกาสเขายังถูกเรียกสมทบทีมชุด U21 (หรือทีมระดับ B ของสโมสร)
โดยฤดูกาลนี้ลงสนามให้กับทีมทั้งสองชุดรวมกัน 21 เกม ยิงไปแล้ว 6 ประตู และกับทีมชาติไทย U23 ที่เพิ่งลงสนามแบบสดๆ ร้อนๆ เจ้าตัวใช้เวลาในสนามเพียง 26 นาที จัดแอสซิสต์งามหยดให้ทีม และเป็นส่วนหนึ่งในชัยชนะนัดเปิดสนามของทีมไทยและนัดแรกกับทีมชาติของเขา
สถิติในสีเสื้อทัพช้างศึกนัดแรก
นอกจาก 1 แอสซิสต์สวยๆ แล้ว เอราวัณยังสร้างสถิติที่น่าสนใจหลายอย่างในเกมนัดนี้ เช่น ชนะการดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่ง 9 ครั้ง, เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งมากที่สุด 4 ครั้ง, เรียกฟาวล์ 4 ครั้ง, ความแม่นยำในการส่งบอล 75%, ผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายมากถึง 19 ครั้ง และสร้างโอกาสทำประตูได้ 2 ครั้ง
อยู่ในรั้วอะคาเดมีที่ยอดเยี่ยม
อาจจะเร็วไปที่จะบอกว่าเอราวัณจะก้าวขึ้นมาเป็นแนวหน้าของสโมสรในตอนนี้ แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอลอย่างเราๆ รู้สึกอุ่นใจคือ การที่เอราวัณได้อยู่ภายใต้การดูแลของยอดทีมอย่างโอลิมปิก ลียง
สโมสรที่เป็นอดีตแชมป์ลีกเอิง 7 สมัยแห่งนี้ เคยปั้นนักเตะชื่อดังมาแล้วมากมาย เช่น คาริม เบนเซมา, อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์, อองโตนี มาร์กซิยาล, โกร็องแต็ง โตลิสโซ
หรือในยุคปัจจุบันก็มีชื่อนักเตะอย่าง แบรดลีย์ บาร์โคลา, ฮุสเซม อูอาร์ รวมถึง มาโล กุสโต ที่กำลังไปได้ดีกับเชลซี ต่างก็เคยเป็นผลผลิตในรั้วของโอลิมปิก ลียง
นั่นจึงทำให้เราอุ่นใจว่า ด้วยวัย 18 ปีกับฝีเท้าที่อยู่ในระดับที่ดี (เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน) บวกกับการอยู่ในแคมป์ของลียง เอราวัณมีโอกาสได้พัฒนาทักษะของการเป็นนักฟุตบอลที่เก่งขึ้นตามรอยนักเตะชื่อดังที่กล่าวไปข้างต้นก็เป็นได้
อนาคตกับทีมชาติไทย และภารกิจปัจจุบัน
การเปิดตัวด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้และได้เช็กเสียงจากแฟนบอลในโซเชียลมีเดียแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอราวัณคือหนึ่งใน ‘ความหวัง’ ใหม่ของทีมชาติไทยที่คนไทยเฝ้ารอให้เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับทีมชุดใหญ่ในอนาคต เพราะมันคงยอดเยี่ยมไม่น้อยหากเราได้เห็นเขาเล่นร่วมกับรุ่นพี่ทีมชาติอย่าง นิโคลัส มิคเกลสัน น่าจะยกระดับให้ทัพช้างศึกได้ไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ในห้วงเวลาปัจจุบันเอราวัณกับทีมชาติไทย U23 ยังมีสิ่งที่ต้องฝ่าฟันและพิสูจน์ตัวอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024
นี่ไม่ใช่แค่รายการชิงแชมป์เอเชียของเหล่านักเตะรุ่น U23 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นี่คือรายการที่คัดเลือกเอาทีมจากทวีปเอเชียไปเป็นตัวแทนลงแข่งขันในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 รอบสุดท้ายที่ประเทศฝรั่งเศส
โดยในศึกชิงแชมป์เอเชีย U23 2024 ทีมไทยอยู่ในกลุ่ม C ร่วมกับอิรัก, ซาอุดีอาระเบีย และทาจิกิสถาน ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องติดอยู่ในอันดับ 1-2 ของกลุ่ม เพื่อไปเล่นต่อในรอบน็อกเอาต์ (8 ทีมสุดท้าย) ในโอกาสต่อไป
หลังจากนี้เอราวัณมีโอกาสสูงที่จะยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมช้างศึกชุด U23 กับทัวร์นาเมนต์นี้ ในฐานะนักเตะที่สร้างสรรค์เกมรุกให้กับทีม และในอนาคตอันใกล้ต้องมารอดูกันอีกครั้งว่า เด็กหนุ่มวัย 18 ปีจะถูก มาซาทาดะ อิชิอิ เรียกติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ในรายการคัดบอลโลก 2026 ที่จะกลับมาในช่วงเดือนมิถุนายนนี้หรือไม่
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เรามารอติดตามและรอเชียร์นักฟุตบอลไทย ชุด U23 ในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย 2024 ซึ่งในรอบแบ่งกลุ่มทีมไทยเหลือโปรแกรมอีก 2 นัด โดยเจอกับซาอุดีอาระเบียในวันที่ 19 เมษายน เวลา 22.30 น. และเจอกับทาจิกิสถานในวันที่ 22 เมษายน เวลา 22.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ่ายทอดสดทาง True Sport 2 (ช่อง 667)
อ้างอิง: