ท่ามกลางคลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมหลายประเทศของยุโรป ในบางพื้นที่ของสหราชอาณาจักรมีอุณหภูมิสูงทะลุ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่วัดได้ในสหราชอาณาจักร
สภาพอากาศที่ร้อนและแห้งทำให้เกิดไฟไหม้ในฝรั่งเศส สเปน หรือแม้แต่บางพื้นที่ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ โดยช่วงเช้าวานนี้ (19 กรกฎาคม) เครื่องวัดอุณหภูมิในพื้นที่เซอร์เรย์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ วัดอุณหภูมิได้ 39.1 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกได้ในสหราชอาณาจักร
อย่างไรก็ตาม มีการทุบสถิติใหม่เกิดขึ้นในอีก 2 ชั่วโมงให้หลัง เมื่อสำนักอุตุนิยมวิทยาของอังกฤษรายงานว่า เครื่องวัดอุณหภูมิที่ท่าอากาศยานนานาชาติฮีทโธรว์สามารถวัดได้ 40.2 องศาเซลเซียส ซึ่งหากข้อมูลได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ จะถือเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิในสหราชอาณาจักรสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส
ในช่วงเที่ยงของวันเดียวกัน หลายพื้นที่ของสหราชอาณาจักรวัดอุณหภูมิได้สูงเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยที่หมู่บ้านโคนิวสบีทางภาคตะวันออกของอังกฤษวัดอุณหภูมิได้ 40.3 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นตัวเลขสถิติใหม่ที่ไม่เคยบันทึกได้มาก่อน ขณะที่สำนักอุตุนิยมวิทยารายงานเพิ่มเติมว่า มีพื้นที่อย่างน้อย 34 แห่ง ที่วัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 38.7 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับตัวเลขสถิติก่อนหน้าของสหราชอาณาจักร
ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด รัฐบาลอังกฤษออกประกาศแนะนำให้ประชาชนทำงานจากบ้าน ขณะที่ Network Rail ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานระบบรางรถไฟของอังกฤษ ได้ออกประกาศเตือนให้ผู้โดยสารงดเดินทางด้วยรถไฟที่วิ่งผ่านพื้นที่สีแดงที่กำหนดโดยสำนักอุตุนิยมวิทยาอังกฤษ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ลอนดอนเหนือไปจนถึงแมนเชสเตอร์และยอร์ก โดยบริษัทผู้ให้บริการรถไฟหลายรายระบุว่าอาจพิจารณายกเลิกบริการทั้งหมดในเส้นทางสายเหนือจากกรุงลอนดอน
ทั้งนี้ รถไฟเป็นระบบคมนาคมที่มักได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อน เพราะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รางรถไฟ และสายเคเบิล ไม่ได้สร้างมาเพื่อรองรับกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดเช่นนี้
นอกจากสหราชอาณาจักรแล้ว ฝรั่งเศสและสเปนก็กำลังเผชิญกับไฟป่าและไฟลามทุ่งในบางพื้นที่ของประเทศ อันเป็นผลพวงจากคลื่นความร้อนครั้งรุนแรง ซึ่งเวลานี้นักดับเพลิงกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมไฟป่า ขณะที่ทางการได้สั่งอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาพ: Vuk Valcic / SOPA Images / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: