จากประเด็นที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และชาติพันธมิตร หรือ OPEC+ มีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดของ OPEC+ นับตั้งแต่ปี 2563 และเป็นการปรับลดกำลังการผลิตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยมีเป้าหมายเพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ทั้งนี้ ส่งผลให้ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น ได้รับผลดีจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยราคาหุ้น PTTEP ปรับตัวเพิ่มขึ้นระดับ 170.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.19% ขณะที่ TOP ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องรับข่าวมาอยู่ที่ระดับ 52.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.96%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
บทวิเคราะห์ของ บล.กรุงศรี ระบุว่า การลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรลต่อวันของกลุ่ม OPEC+ เป็นบวกกับกลุ่มน้ำมันที่ตลาดกลับมากังวลกับภาวะ Supply ตึงตัวหนุนราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 1.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยปิดที่ระดับ 87.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ เป็นบวกกับหุ้นน้ำมันอย่าง PTTEP, TOP, SPRC และ ESSO อย่างไรก็ตาม ในมุมกลับกันถือเป็นผลลบกับกลุ่มใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบ เช่น GPSC, BGIRM, SPCG และ TASCO
ด้านบทวิเคราะห์ของ บมจ.ดาโอ (ประเทศไทย) รายงานว่าประเด็นใหญ่ของตลาดวันนี้คือผลการประชุม OPEC+ ที่ลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จาก 43.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ 41.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 2% ของ Demand ทั้งโลก จะเป็นบวกต่อหุ้นน้ำมันอย่าง PTTEP และ PTT แต่อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นนั้นจะไปดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น อาจจะส่งผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในครั้งหน้า ผลประชุมต่อภาพรวมตลาดจึงมีค่อนข้างน้อย