×

หุ้นพลังงานวิ่งนำตลาด! นักวิเคราะห์เพิ่มประมาณการเปิดอัปไซด์หุ้น หลังราคาน้ำมันนิวไฮรอบ 2 ปีครึ่ง

08.03.2021
  • LOADING...
หุ้นพลังงานวิ่งนำตลาด! นักวิเคราะห์เพิ่มประมาณการเปิดอัปไซด์หุ้น หลังราคาน้ำมันนิวไฮรอบ 2 ปีครึ่ง

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังการประชุมของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร หรือ OPEC+ ในช่วงวันที่ 4-5 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมมีมติจะขยายเวลาการปรับลดการผลิตที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงเดือนเมษายน 2564 

 

นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังสมัครใจที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ออีก 1 เดือน ไปสิ้นสุดเดือนเมษายนนี้ ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า OPEC+ จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนเมษายนที่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแตะ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง

 

จักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย มองว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มน้ำมัน และล่าสุดยังมีปัจจัยเรื่องของความไม่แน่นอนจากการยิงขีปนาวุธ โดยมีเป้าหมายที่คลังน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย แม้จะป้องกันความเสียหายไว้ได้ แต่ก็ทำให้ตลาดกังวลต่อเรื่องของอุปทานน้ำมัน ทำให้น้ำมันดิบเบรนต์ทะลุระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

 

“เชื่อว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะยังอยู่ในโมเมนตัมเชิงบวกต่อไปได้จนถึงกลางไตรมาส 2 หลังจากนั้นต้องมาดูกันอีกครั้งว่าดีมานด์ของน้ำมันจะเพิ่มขึ้นทันราคาหรือไม่ หลังจากที่การกระจายวัคซีนถือว่าทำได้เร็วกว่าคาดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น”

 

อย่างไรก็ตาม มูลค่าของหุ้นกลุ่มน้ำมันและพลังงานอื่นๆ เริ่มจะตึงตัว แต่ด้วยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์หลายรายอยู่ระหว่างการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันขึ้น ซึ่งจะช่วยเปิดอัปไซด์ของหุ้นเหล่านี้ขึ้นไปได้อีก 

 

สำหรับ บล.กสิกรไทย ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์เฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมีโอกาสจะปรับขึ้นสู่ระดับ 60-65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หุ้นหลักในกลุ่มพลังงานที่จะได้ประโยชน์คือ กลุ่มธุรกิจต้นน้ำและกลุ่มโรงกลั่น โดยมีหุ้นเด่นคือ PTTEP, PTTGC และ TOP 

 

ขณะที่ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2564 ขึ้นจาก 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มพลังงานสูงขึ้น 13% เป็น 2.06 แสนล้านบาท เติบโต 178% จากปีก่อน และคาดการณ์กำไรกลุ่มน้ำมัน ได้แก่ PTT, PTTEP และ PTTGC สูงขึ้น 11-32% ส่วนกำไรกลุ่มโรงกลั่น ได้แก่ TOP, SPRC, IRPC และ BCP สูงขึ้น 31-62% จากกำไรสต๊อกน้ำมัน 

 

ในเชิงพื้นฐานเลือก PTTGC ราคาเหมาะสม 75 บาท และ PTT ราคาเหมาะสม 50 บาท จากจุดเด่นของโมเมนตัมกำไรครึ่งปีแรกของปีนี้ฟื้นตัวอย่างมีคุณภาพ และได้ประโยชน์ทางตรงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

 

ส่วนการลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น เน้นหุ้นโรงกลั่น เช่น TOP ราคาเหมาะสม 69 บาท และ IRPC ราคาเหมาะสม 4 บาท ซึ่งมูลค่าหุ้นยังไม่แพง โดยซื้อขายบน P/BV ที่มีส่วนลดจากค่าเฉลี่ย -1.0SD ซึ่งอยู่ในกรอบล่างของอุตสาหกรรม และกำไรไตรมาสแรกได้แรงหนุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก

 

อย่างไรก็ตาม ช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ราคาหุ้นอาจจะผันผวนตามภาวะตลาด เพราะเป็นช่วงรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ และการประชุม FOMC ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญด้านปัจจัยมหภาคที่ทำให้หุ้นผันผวนได้ 

 

ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า เบื้องต้นเราประเมินราคาน้ำมันดิบปี 2564 อาจมีอัปไซด์มาอยู่ที่ 56.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิมที่คาดไว้ 53.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ประมาณการกำไรปกติปีนี้ของ PTTEP มีอัปไซด์ราว 6% มาอยู่ที่ 35,169 ล้านบาท แต่ไม่ได้กระทบกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ

 

จากการประเมิน Sensitivity พบว่า ราคาน้ำมันดิบที่สูงกว่าคาด ทุกๆ 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในระยะยาว จะเป็นอัปไซด์ต่อ PTTEP ราว 3 บาทต่อหุ้น หรือ +2.6% ขณะที่โรงกลั่นอย่าง TOP จะได้ประโยชน์ในด้านตัวเลขกำไรจากสต๊อกมากสุด ทั้งนี้ สมมติฐานราคาน้ำมันดิบระยะยาวของเราอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

 

คงคำแนะนำ Bullish กลุ่มพลังงาน เลือก PTT และ PTTEP เป็น Top Pick ในระยะสั้นเรามองกลุ่มต้นน้ำจะได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นโดยตรงและนานกว่ากลุ่มโรงกลั่น โดยเฉพาะ PTTEP และได้ปัจจัยบวกตลอดปีจากการทยอยปรับขึ้นของ ASP โดยราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวช้ากว่าน้ำมันดิบราว 6-12 เดือน 

 

ทั้งนี้ เชื่อว่าปี 2564 เป็นปีแห่งการฟื้นตัวของกลุ่มพลังงาน เนื่องจาก 

 

  1. ไม่มีขาดทุนสต๊อกน้ำมันก้อนใหญ่มาฉุดกำไร 
  2. อัตรากำไรกลุ่มที่ฟื้นตามส่วนต่างราคาปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จากสถานการณ์คลังน้ำมันทั่วโลกผ่อนคลาย และมีอุปทานส่วนเกินลดลง หลังจากอุปสงค์ทั่วโลกฟื้นตามเศรษฐกิจ 
  3. การปิดซ่อมลดลง ทำให้กำไรปกติของกลุ่มในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้น 169% จากปีก่อนหน้า

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising