นับตั้งแต่เหตุกราดยิงที่โรงเรียนมัธยมมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา จากฝีมือของอดีตนักเรียนวัยเพียง 19 ปีที่ใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติกราดยิงผู้คน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 17 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 17 คน นับเป็น 1 ใน 10 เหตุกราดยิงครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
เหตุดังกล่าวทำให้ทั่วโลกได้เห็นหน้าค่าตาของผู้หญิงวัยรุ่นอเมริกันคนหนึ่งตามหน้าสื่อต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เธอตัดผมสกินเฮดและขึ้นกล่าวสปีชบนเวทีต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ แก้ไขกฎหมายสิทธิครอบครองปืนอย่างจริงจัง
เธอมีชื่อว่า เอ็มมา กอนซาเลซ (Emma González)
เอ็มมาเป็นสาวอเมริกัน เชื้อสายคิวบาวัย 18 ปี ที่เกิดและเติบโตขึ้นที่เมืองพาร์กแลนด์ รัฐฟลอริดา เธอเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้งหมด 3 คน แม่ของเธอทำงานเป็นนักติวเตอร์วิชาคณิตศาสตร์ ในขณะที่พ่อของเธอเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับบริษัทด้านความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งหนึ่ง และเป็นชาวคิวบาที่อพยพมายังสหรัฐฯ ในช่วงที่ ฟิเดล คาสโตร เปลี่ยนระบอบการเมืองการปกครองให้เป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ก่อนที่จะได้รับสัญชาติอเมริกันในที่สุด
เธอเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารแฟชั่นชั้นนำของโลกอย่าง Harper’s Bazaar ว่า เธอนิยามตนเองเป็นไบเซ็กชวล งานอดิเรกของเธอก็คล้ายๆ กับผู้หญิงคนอื่นๆ ทั่วไป คือชอบถักโครเชต์ เย็บปักถักร้อย วาดรูปหรือกิจกรรมอะไรก็ได้ที่สามารถทำได้ขณะนั่งดูซีรีส์ทาง Netflix
การเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเอง มีส่วนทำให้เอ็มมาก้าวขึ้นทำหน้าที่ของประธานกลุ่มชมรมของผู้มีความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี จุดนี้ทำให้เธอเข้าใจเพื่อนคนอื่นๆ มากขึ้น และมองว่าความแตกต่างหลากหลายคือสิ่งสวยงาม
ไม่ควรมีใครต้องเสียชีวิตภายในโรงเรียน
เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะเกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้น เอ็มมาและเพื่อนกำลังอยู่ในงานกิจกรรมวันวาเลนไทน์ของโรงเรียน ขณะที่ทั่วทั้งโรงเรียนกำลังอบอวลไปด้วยความรัก เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปืนและเสียงกรีดร้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าพื้นที่อย่างรวดเร็ว เอ็มมาและเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ต่างซ่อนตัวในที่หลบภัย เธอพยายามค้นหาข้อมูล รวมถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ล่าสุดจากอินเทอร์เน็ตในมือถือ ก่อนที่จะพบว่า ชื่อของเหยื่อที่เสียชีวิตเป็นชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอ
หลังจากนั้นเอ็มมากับกลุ่มเพื่อนที่รอดชีวิตจากเหตุกราดยิง รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่ม ‘Never Again MSD’ เพื่อรณรงค์เรียกร้องให้พลเมืองอเมริกันตระหนักถึงอันตรายของอาวุธปืนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายปืนในสหรัฐฯ ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น จนได้รับเสียงสนับสนุนมากมาย ผ่าน #NeverAgain ตามสื่อโซเชียลต่างๆ
จากการสูญเสียเพื่อนและอัตราผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ทำให้สาววัย 18 ปีคนนี้ตัดสินใจที่จะเป็นกระบอกเสียง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมอเมริกัน เธอกล่าวโจมตีรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงสมาคมไรเฟิลแห่งชาติสหรัฐฯ (National Rifle Association: NRA) กลุ่มล็อบบี้ยิสต์รายใหญ่ที่ครอบงำการเมืองสหรัฐฯ อยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 5 ล้านคนทั่วประเทศ โดยเลือกที่จะปกป้องสิทธิในการถือครองปืนได้อย่างเสรีในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 (ที่แก้ไขเพิ่มเติม) มากกว่า ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่ต้องจบลงคนแล้วคนเล่า
เอ็มมาตอบกลับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กล่าวว่าปัญหาของเหตุกราดยิงไม่ได้อยู่ที่กฎหมายปืน แต่เป็นอาการทางจิตของผู้ลงมือก่อเหตุว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องอาการทางจิต เพราะเขาคงจะไม่สามารถทำร้ายนักเรียนคนอื่นๆ ได้มากขนาดนี้ ถ้าเขาใช้แค่มีดเพียงเล่มเดียว…”
“นักการเมืองที่นั่งอยู่ในรัฐสภาและรับสินบนจากสมาคมไรเฟิลบอกกับพวกเราว่า ไม่มีวิธีอะไรที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น (เฮงซวย) พวกเขาบอกเราว่า กฎหมายที่รัดกุมขึ้นไม่สามารถลดอัตราการใช้ความรุนแรงจากอาวุธปืนได้ (เฮงซวย) พวกเขาบอกเราว่า ไม่มีกฎหมายใดที่จะปกป้องโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้บริสุทธิ์ครั้งแล้วครั้งเล่าได้ (เฮงซวย) พวกเขาบอกเราว่า พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ พวกเราเด็กเกินไปที่จะเข้าใจการทำงานของรัฐบาล (เฮงซวย)”
เธอกล้าตั้งคำถามถามนักการเมืองอเมริกันว่า “พวกคุณรับเงินจากสมาคมไรเฟิลมาเท่าไร พวกคุณกล้าที่จะลุกขึ้นมาพูดความจริงและลาออกจากตำแหน่งไหม?”
สุนทรพจน์ของเด็กสาวผมทรงสกินเฮดทำให้พลเมืองอเมริกันจำนวนไม่น้อยได้ฉุกคิดและออกมาร่วมสนับสนุนการเดินขบวน ‘March for Our Lives’ ครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่มีนักเรียนเข้าร่วมมากที่สุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อร่วมกันแสดงพลังสนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมายปืนและลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอาวุธดังกล่าว ผ่านแคมเปญ ‘Never Again’ และคำถาม ‘Am I next?’
เอ็มม่าขึ้นกล่าวสปีชอีกครั้งต่อหน้าผู้เข้าร่วมชุมนุมหลายแสนคน เธอไล่เรียงชื่อของเพื่อนร่วมชั้นที่เสียชีวิต พร้อมกับกล่าวว่า ภาพความทรงจำระหว่างเธอและเพื่อนๆ เหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ก่อนที่เธอจะยืนสงบเงียบไว้อาลัยต่อเหยื่อผู้เสียชีวิตที่จากไปด้วยเหตุความรุนแรงจากอาวุธปืนอีกครั้ง
ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีพลเมืองครอบครองอาวุธปืนมากที่สุดในโลก ซึ่ง ‘โรงเรียน’ เป็นสถานที่ที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงมากที่สุด ตามมาด้วยงานเทศกาลดนตรี ไนต์คลับ ร้านอาหารและโบสถ์ จากการรายงานของ Gun Violence Archive พบว่า นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา มีเหตุที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงจากอาวุธปืนถึง 12,882 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 3,305 คน และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 5,770 คน ผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุ 12-17 ปี รวมถึงเกิดเหตุกราดยิงขึ้นแล้ว 50 ครั้งในปีนี้
ตราบใดเท่าที่เรายังไม่เห็นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายสิทธิครอบครองปืนในสหรัฐฯที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเราจะยังคงเห็นเอ็มมา กอนซาเลซ เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะผลักดันประเด็นนี้ต่อไป โดยไม่สนใจว่าตัวเธอเองและกลุ่มผู้สนับสนุนคนอื่นๆ จะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจมืดที่ทรงอิทธิพลมากแค่ไหนก็ตาม พวกเธอหวังเพียงว่า สังคมอเมริกันที่เธอเกิดและเติบโตจะเปลี่ยนแปลง และรับฟังเสียงของพวกเธอที่ได้รับผลกระทบจาก ‘สิทธิเสรีภาพจากกระบอกปืน’ มากยิ่งขึ้น
#NeverAgain #MarchForOurLives
Photo: AFP
อ้างอิง:
- www.washingtonpost.com/national/emma-gonzalez-hated-guns-before-now-shes-speaking-out-on-behalf-of-her-dead-classmates/2018/02/21/00aea98a-175d-11e8-8b08-027a6ccb38eb_story.html?utm_term=.f7fed24768ee
- www.newyorker.com/culture/cultural-comment/the-passion-of-emma-gonzalez
- www.harpersbazaar.com/culture/politics/a18715714/protesting-nra-gun-control-true-story
- www.houstonpublicmedia.org/articles/news/2018/03/22/274663/parkland-students-on-cover-of-time-magazine
- www.vox.com/policy-and-politics/2018/3/24/17159916/march-for-our-lives-emma-gonzalez-silence
- edition.cnn.com/2018/03/25/us/emma-gonzalez-what-you-need-to-know-trnd/index.html