ไม่ว่าจะอย่างไร การพบกันระหว่างบาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด ในนามของ ‘เอลกลาซิโก’ ก็เป็นเกมลูกหนังอันดับหนึ่งของโลกเสมอ
ไม่ว่าจะหยิบจับด้านใดมาพูดถึงก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความยิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์ ความเป็นปฏิปักษ์
อย่างไรก็ดี เกมเอลกลาซิโกที่จะลงสนามกันในคืนวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคมนี้ จะเป็นเกมที่ให้ความรู้สึกที่แปลกไป เหตุผลเพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่เราจะไม่ได้เห็นการลงดวลกันของ 2 สุดยอดซูเปอร์สตาร์แห่งยุคอย่าง ลิโอเนล เมสซี และคริสเตียโน โรนัลโด ลงสนาม
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หัวใจก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างและว่างเปล่าขึ้นมา
ครั้งสุดท้ายที่ไม่มีเมสซีและโรนัลโดลงวาดลวดลายในเกมเอลกลาซิโกเลยนั้น เราต้องย้อนกลับไปไกลถึง 11 ปีที่แล้วครับ ในเดือนสุดท้ายของปี 2007
แน่นอนว่า ในขณะนั้นโรนัลโดยังสวมชุดแดงเพลิงของ ‘ปีศาจแดง’ อยู่ครับ จึงมีเพียงเมสซีที่เกิดอาการบาดเจ็บขึ้นมา ทำให้ แฟรงก์ ไรจ์การ์ด โค้ชบาร์ซาในยุคนั้น จำเป็นต้องปรับทีม เพื่อทดแทนการขาดหายของสตาร์ดาวรุ่งวัย 20 ปี (ในขณะนั้นซึ่งเริ่มสำคัญต่อทีมมากขึ้นเรื่อยๆ) โดยนายใหญ่ชาวดัตช์เลือกจะใช้งานเดโก ลงสนามมาคุมพื้นที่แดนกลาง และให้ โรนัลดินโญ ขยับไปยืนทางขวา
ขณะที่ทางด้านมาดริดอยู่ภายใต้การคุมทีมของ แบรนด์ ชูสเตอร์ อดีต ‘ขบถลูกหนัง’ ชาวเยอรมัน โดยในเวลานั้น ‘ราชันชุดขาว’ ทำผลงานได้ดีกว่า มีคะแนนนำอยู่ 4 คะแนนในตารางอันดับ ทำให้ความกดดันตกไปอยู่กับบาร์ซามากกว่า
เกมดังกล่าวจบลงด้วยประตูโทนของ ฮูลิโอ บัปติสตา ตัวทำเกมสุดแกร่ง ที่ช่วยให้มาดริดชนะ 1-0 และทิ้งห่างเป็น 7 คะแนน โยนความกดดันลูกเท่าภูเขาให้บาร์ซา โดยเฉพาะไรจ์การ์ดที่เริ่มตกอยู่ใต้ความกดดัน (ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งจริงๆ และเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถูกดันขึ้นมารับตำแหน่งแทน)
พูดแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้นะครับ เมื่อไล่เรียงรายชื่อของผู้เล่นทั้งสองทีมในยุคนั้นแล้วเห็นชื่ออย่าง ซามูเอล เอโต, ชาบี เอร์นานเดซ, เอริค อบิดัล, กาเบรียล มิลิโต, การ์เลส ปูโยล, อันเดรส อิเนียสตา, โรบินโญ, รุด ฟาน นิสเตลรอย, ราอูล กอนซาเลซ, กาเบรียล ไฮน์เซ, เวสลีย์ ชไนเดอร์
หนึ่งในกองกลางของเรอัล มาดริดวันนั้น ยังมี ลาสซานา ดิยาร์รา มณีลูกหนังที่เลือกจังหวะชีวิตผิดพลาด จนทำให้ไปไม่ถึงจุดที่ควรจะก้าวไปด้วย
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เอลกลาซิโกไม่ปรากฏชื่อของเมสซีและโรนัลโดครับ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้เห็นทั้งสองสุดยอดแห่งยุคลงห้ำหั่นกันในสนามตลอด จนกลายเป็นความเคยชิน เรียกว่าหากเป็นน้องๆ อายุน้อยๆ ที่ติดตามฟุตบอลมาไม่นาน ทั้งชีวิตอาจไม่เคยเห็นเอลกลาซิโกที่ไม่มีสองคนนี้เลยก็เป็นได้
แน่นอนครับว่ามันชวนคิดแล้วใจหาย
แต่ในอีกด้าน นี่ก็เป็นโอกาสของเราทุกคนเช่นกัน ที่จะได้เฝ้าดูเอลกลาซิโกในแบบที่เป็นตัวตนของมันจริงๆ ไม่ใช่การเผชิญหน้ากันของเมสซีและโรนัลโดเพียงลำพังเหมือนที่ผ่านมา
นอกเหนือจากประวัติศาสตร์การรบพุ่งทางเกมลูกหนังในสนาม ที่ลามข้ามไปยังเรื่องของจุดยืนทางการเมืองและการต่อสู้ของชนชาติ เอลกลาซิโกในความทรงจำดั้งเดิมของหลายคน นี่คือเกมที่เราจะได้ดูการดวลกันของเหล่าสุดยอดซูเปอร์สตาร์ของโลก
เพราะเหล่านักเตะที่ดีที่สุดของโลกนั้น สุดท้ายแล้วจุดหมายและปลายทางของพวกเขาคือการได้มาอยู่กับบาร์ซาหรือเรอัล มาดริด ไม่ทีมใดก็ทีมหนึ่ง
นั่นคือตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของเกมเอลกลาซิโก และจะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงมันได้
ทีนี้ เมื่อมองย้อนกลับมาในทีมบาร์เซโลนาและเรอัล มาดริดในปัจจุบัน แม้จะตัดชื่อของเมสซีและโรนัลโดออกไปจากทีม แต่ทั้งสองยอดสโมสรของโลกในเวลานี้ก็ยังเต็มไปด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์มากมายล้นทีม
มองอีกด้าน นี่ก็เป็นโอกาสที่ทั้งหมดที่เหลืออยู่ จะได้ก้าวเดินออกจากเงาของผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อจะได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของตนเองครับ
เรอัล มาดริด ถึงจะประสบวิกฤตภายใต้การนำทีมของ ฮูเลน โลเปเตกี โค้ชผู้ที่ถูกคาดหมายว่า เหลือเวลาอีกไม่นานในตำแหน่ง แต่พวกเขายังมีนักเตะอย่าง ลูกา โมดริช กองกลางเจ้าของรางวัล The Best หรือรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า, คาริม เบนเซมา หนึ่งในกองหน้าชั้นยอด, เซร์คิโอ รามอส ปราการหลังกัปตันทีมจอมห้าว (และโหดเหี้ยม), มาร์เซโล แบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้, อิสโก เพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์สูงสุดคนหนึ่งของสเปน, มาร์โก อเซนซิโอ ซ้ายพรสวรรค์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคนหนึ่ง
ไปจนถึง แกเร็ธ เบล มังกรแดงมหัศจรรย์ ผู้ที่ถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาแทนที่โรนัลโด ในฐานะนักเตะหมายเลขหนึ่ง
แน่นอนว่าการสูญเสียนักเตะคนหนึ่งที่ทำประตูให้กับทีมได้อย่างมากมายถึงอย่างต่ำ 40 ลูกต่อฤดูกาล ย่อมส่งผลกระทบต่อทีมอย่างมาก เพราะไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะทดแทนที่ของโรนัลโดได้เพียงลำพัง
แต่ในอีกด้าน มันคือความจริงที่พวกเขาต้องเผชิญอยู่แล้วในสักวัน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลุกขึ้นยืนหยัดและฟันฝ่าไปให้ได้
เหมือนที่อิสโกกล่าวไว้ “พวกเราไม่สามารถจะร้องไห้ให้กับใครบางคนที่ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
หากจะมีเกมไหนสักเกมที่พวกเขาจะแสดงหัวใจนักสู้ให้เห็น ก็ย่อมเป็นเกมนัดนี้ที่คัมป์ นู
ทางฟากฝั่งบาร์ซา วันนี้พวกเขาไม่มีเมสซี ซึ่งแม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นการเตือนความจำครั้งแรก ว่าสักวันพวกเขาก็จะไม่มีเมสซีในสนามเหมือนกัน
ดังนั้น ช้าหรือเร็ว บาร์ซาก็ต้องเผชิญกับปัญหาแบบเดียวกับที่คู่แข่งชั่วชีวิตของพวกเขาเจอเหมือนกัน และมันเป็นปัญหาที่หาคำตอบได้ยากมากจนถึงแทบเป็นไปไม่ได้
บิดเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในช่วงการแถลงข่าวหลังจบเกมที่บาร์ซาไล่ถล่มเซบีญา 4-2 ยึดตำแหน่งจ่าฝูงกลับมาครองได้อีกครั้ง – เอร์เนสโต วัลเวร์เด ถูกตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ ว่าพวกเขามีแผนที่จะทดแทนการสูญเสียเมสซีที่บาดเจ็บถึงขั้นกระดูกแขนแตกหักได้อย่างไร
“ผมก็ไม่รู้” คือคำตอบของนายใหญ่อาซูลกรานา
ขณะที่ จอร์ดี อัลบา แบ็กซ้ายผู้รู้ใจของเมสซี บอกว่า “ไม่มีใครแทนที่เมสซีได้ เขาคือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก”
สิ่งที่ดีกว่าสำหรับบาร์ซาในเวลานี้คือ อย่างน้อยพวกเขาทำผลงานในภาพรวมได้ดี ทีมขึ้นนำจ่าฝูงลาลีกา และภายในทีมผู้เล่นที่รายล้อมเมสซีเองก็สามารถที่จะแบ่งเบาภาระได้ค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะ หลุยส์ ซัวเรซ คู่หูทั้งในและนอกสนาม และฟิลิปป์ คูตินโญ พ่อมดน้อยที่แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นบ่อยครั้งในสนาม
แต่เมื่อถามถึงคนที่จะทำหน้าที่นี้แทนเมสซีในเกมเอลกลาซิโกคืนวันอาทิตย์นี้ ความสนใจจะถูกจับไปที่ อุสมาน เดมเบเล ไอ้หนูมหัศจรรย์ชาวฝรั่งเศส ที่ย้ายมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยสนนราคา 135.5 ล้านปอนด์ ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว
หากมองเรื่องของพรสวรรค์ในการเล่นแล้ว เดมเบเลมีครบทุกอย่าง อย่างที่ปีกชั้นยอดคนหนึ่งพึงมี ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว ความปราดเปรียว ทักษะการเล่น และที่เป็นความสามารถพิเศษคือ ความสามารถในการเล่นบอลสองเท้าได้ดีใกล้เคียงกัน
แต่ปัญหาคือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เดมเบเลผู้ถูกดึงตัวมาอย่างเร่งด่วน เพื่ออุดรูรั่วที่ เนย์มาร์ ทิ้งไว้เมื่อครั้งจากไปอยู่ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไม่เคยแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นนักเตะที่คู่ควรจะเป็นตัวจริงของบาร์เซโลนา
การจับบอลหลุดบอลลั่น การผ่านบอลผิดที่ผิดทาง ไปจนถึงการจบสกอร์ที่ไร้จุดหมาย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ได้เห็นเป็นประจำ จะมีบ้างเพียงบางครั้งบางเกมที่เดมเบเลทำได้ดีสมกับที่ถูกคาดหวังไว้
แต่ถึงกระนั้น หากต้องเลือก เขาน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามัลคอม อีกหนึ่งสตาร์น้องใหม่ชาวบราซิล ที่ดูจะยังปรับตัวกับทีมไม่ได้ เช่นเดียวกับ เซร์กี โรแบร์โต สายเลือดลา มาเซีย ที่ห่างหายจากการเล่นในตำแหน่งตัวรุกมานาน (ครั้งสุดท้ายที่โรแบร์โตลงเล่นในกลาซิโกคือ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเล่นแทนตำแหน่งเมสซีที่บาดเจ็บในเกมนั้น)
หรือไม่เช่นนั้น วัลเวร์เดจะต้องเลือกใช้ ราฟินญา อัลคันตารา หรือปรับระบบการเล่นของทีมใหม่เป็น 4-4-2 และใช้ มูเนียร์ เอล ฮัดดาดี เจ้าหนูดาวรุ่งยืนประจำการในแดนหน้าคู่กับซัวเรซแทนที่
อย่างไรก็ดีมันเป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น
ส่วนคำตอบของการแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งจะเกิดขึ้นจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อเมสซีถึงคราวต้องลาจากจริง ถึงเวลาค่อยมาร่วมหาคำตอบกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจจากเรื่องนี้คือ เรา ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอลบาร์ซาหรือมาดริดหรือไม่ก็ตาม จะได้กลับมาตั้งสติและทบทวนตัวเองกันอีกครั้ง
เพราะบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์ สักวันที่เคยมีก็จะสูญหายหรือแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
หรือบางครั้งก็วนกลับไปสู่จุดเดิม
เหมือนเอลกลาซิโก ที่ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ถูกใช้เป็นสังเวียนห้ำหั่นกันของเมสซีและโรนัลโด
สักวันทุกอย่างก็จะย้อนกลับไปสู่จุดเดิมที่ไม่เคยมีทั้งสองอยู่ เป็นเอลกลาซิโกแบบที่เราเคยคุ้น
ไม่มีอะไรที่มากหรือน้อยไปกว่านั้น
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- www.bbc.com/sport/football/45970267
- www.dreamteamfc.com/c/news-gossip/429137/el-clasico-without-messi-ronaldo-barcelona-history/
- www.goal.com/en/news/real-madrid-barcelona-clasico-record-head-to-head/hxdm74dgfby81w9bsiejduy05
- www.sportskeeda.com/football/why-real-madrid-versus-fc-barcelona-is-known-as-el-clasico
- นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน มีเกมเอลกลาซิโกในเกมแข่งขันอย่างเป็นทางการแล้วจำนวน 238 นัด
- ลิโอเนล เมสซี เป็นเจ้าของสถิติทำประตูสูงสุดตลอดกาล ในศึกเอลกลาซิโก โดยทำไปทั้งสิ้น 26 ประตู ขณะที่เจ้าของสถิติรองลงมาคือ อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน และโรนัลโด ของเรอัล มาดริด ที่ทำไป 18 ประตู
- จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองทีมเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคการปฏิวัติสเปนของนายพลฟรังโก เมื่อปี 1936 ที่ถือหางข้างเรอัล มาดริด และชิงชังบาร์เซโลนา ที่ถูกมองว่าเป็นทีมของพวกปฏิวัติ
- อีกหนึ่งชนวนความแค้นระหว่างทั้งสองทีมคือ การแย่งตัว อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน สุดยอดนักเตะอาร์เจนไตน์ จากริเวอร์เพลต ที่เป็นกรณีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองทีม สุดท้ายบาร์ซาถอนตัวจากเรื่องนี้ และทำให้ดิ สเตฟาโน ย้ายไปเรอัล มาดริด
- ระหว่างทั้งสองทีมไม่ค่อยมีการย้ายทีมข้ามฟากบ่อยนัก แต่ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งคือ เมื่อปี 2000 เกิดการย้ายทีมช็อกโลกเมื่อ หลุยส์ ฟิโก ซึ่งเป็นกัปตันทีมบาร์ซาในช่วงนั้นตัดสินใจหักหน้า ย้ายไปเรอัล มาดริดตามแผน ‘กาลาคติกอส’ หรือนักรบดวงดาวของ ฟลอเรนติโน เปเรซ จนกลายเป็นความแค้นระหว่างทั้งสองทีม ถึงขั้นฟิโกถูกแฟนบาร์ซาขว้างด้วยหัวหมูลงมาในสนาม
- เดิมการพบกันระหว่างบาร์ซาและเรอัล มาดริดถูกเรียกว่า ‘เอล ดาร์บี’ โดยชื่อของ ‘เอลกลาซิโก’ จะเป็นชื่อที่ใช้ในเกมระหว่างริเวอร์เพลตและโบคา จูเนียร์ส ในลีกอาร์เจนตินา แต่เพิ่งจะเริ่มมีการเปลี่ยนมาใช้เอลกลาซิโก เพื่อใช้โปรโมตการถ่ายทอดสดแทนชื่อของเอล ดาร์บี โดยชื่อเอล ดาร์บี ถูกนำไปใช้กับเกมดาร์บีเมืองมาดริด (เอล ดาร์บี มาดริดินโญ) ขณะที่เกมเอลกลาซิโกของอาร์เจนตินา ปัจจุบันเรียกว่า ‘ซูเปอร์ กลาซิโก’ แทน