×

เอกนิติมั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เร่งคลอดแพ็กเกจเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปีนี้

21.11.2025
  • LOADING...
เอกนิติ มั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เร่งคลอด แพ็กเกจเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปีนี้

ดร.เอกนิติ มั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เผยออกนโยบายสำเร็จได้เกินครึ่งแล้ว จ่อเร่งคลอดมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้เสร็จทัน ภายในสิ้นปีนี้ ย้ำแผนขึ้น VAT เพื่อเพิ่มฐานะการคลัง ไม่อยากให้มองเป็นประเด็นการเมือง

 

วันนี้ (21 พฤศจิกายน) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากมีการยุบสภาเกิดขึ้นจริง การเจรจาการค้าระหว่างประเทศยังสามารถดำเนินต่อได้ ในฐานะรัฐบาลรักษาการณ์ พร้อมย้ำว่า จะดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ต่อไป และตั้งใจให้ทุกมาตรการเสร็จทันภายในเดือนธันวาคม

 

การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า พร้อมยุบสภาทันทีในวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 หรือในวันที่ 12 ธันวาคม หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจากพรรคฝ่ายค้าน

 

เจรจาการค้าต่อได้แม้ยุบสภา

 

ดร.เอกนิติ ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์เพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ในเรื่องการเจรจาการค้าได้มีการหารือกับ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับแผนการเจรจามาโดยตลอด

 

พร้อมระบุว่า สิ่งที่คณะทำงานพยายามผลักดัน คือ การรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทย ควบคู่กับการหาตลาดใหม่ ทั้งในรูปแบบ ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และ ข้อตกลงทวิภาคี (Bilateral Agreement) กับประเทศต่างๆ

 

ดร.เอกนิติกล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าเจรจาการค้าอย่างต่อเนื่อง กับทั้งตลาดเก่า เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับ 1 ที่สำคัญของไทย และครอบคลุมถึง 18% ของการส่งออก ควบคู่กับการหาตลาดใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสขยายตลาดออกไป

 

ทั้งนี้ หากมีการยุบสภาเกิดขึ้น ดร.เอกนิติ ระบุว่า แม้คณะทำงานจะไม่สามารถขออนุมัติสนธิสัญญาใดๆ ได้ อย่างไรก็ตาม การเจรจายังคงสามารถดำเนินการต่อไปได้ในฐานะรัฐบาลรักษาการณ์

 

เร่งคลอดทุกแพ็กเกจ เสร็จในเดือนธันวาคม

 

ในด้านผลกระทบต่อนโยบายทางเศรษฐกิจหากมีการยุบสภา ทางดร.เอกนิติ กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีการออกมาตรการทางเศรษฐกิจไปแล้วมากกว่าครึ่ง นับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงาน พร้อมกล่าวว่า “จะทำไปทุกวันจนกว่าจะไม่สามารถทำต่อได้ ซึ่งจะพยายามทำให้ทุกมาตรการเสร็จภายในเดือนธันวาคม”

 

สำหรับมาตรการใหม่ๆ ซึ่งจะมีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ข้างหน้า (วันที่ 25 พฤศจิกายน) จะประกอบด้วย มาตรการปลดล็อกการลงทุน BOI Fast Pass เพื่อช่วยให้ โครงการลงทุนมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท ทั้ง 60 โครงการ สามารถเริ่มโครงการได้ หลังจากที่ต้องติดขัดในขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆ ทั้งในด้านสาธารณูปโภค และขั้นตอนการขอใบอนุญาตแรงงาน

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการส่งเสริมการออม Individual Saving Account (ISA) หรือบัญชีการออมส่วนบุคคล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์จากนี้ โดยโครงการดังกล่าว จะช่วยให้ประชาชน สามารถเลือกรูปแบบการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีตามความเสี่ยงที่ต้องการได้เอง แทนกองทุนรูปแบบเดิมที่อาจมีการบิดเบือนตลาด

 

ขณะที่โครงการ ‘ซื้อหนี้’ เกษตรกร โดยให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ขึ้นมาเอง เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในภาคการเกษตรราว 1 แสนราย คิดเป็นมูลหนี้ราว 7-8 พันล้านบาท

 

ดร.เอกนิติกล่าวว่า โครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติหลักการแล้ว โดยตัวโครงการจะอยู่ภายใต้อำนาจของ ธ.ก.ส. ซึ่งสามารถดำเนินการได้เลย โดยไม่ต้องผ่านที่ประชุมครม. อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติระบุว่า อาจมีการเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ได้ หากแหล่งเงินของโครงการจำเป็นต้องอาศัยมติของที่ประชุม ครม.

 

ส่วนมาตรการคืนเงินบางส่วนเป็นเงินออมให้กับผู้ที่ซื้อสลากดิจิทัล L6 (สลากหกหลักแบบดิจิทัล) แต่ไม่ถูกรางวัล ดร.เอกนิติ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว

 

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.เอกนิติยังกล่าวถึง แพ็กเกจสนับสนุน ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ซึ่งประกอบด้วย 3 แพ็กเกจหลัก ได้แก่ แพ็กเกจสนับสนุนด้านการเงิน แพ็กเกจสนับสนุนด้านภาษี และแพ็กเกจสนับสนุนการซื้อสินค้าไทยโดยกล่าวรายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีการเร่งรัดคืนภาษีให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งมียอดเงินคงค้างในระบบสรรพากรราว 40,000 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ต้องทำผ่านระบบดิจิทัล

 

ชี้ขึ้น VAT เพิ่มฐานะการคลัง

 

สำหรับแผนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากระดับ 7% เป็น 8.5% โดยจะเริ่มในปี 2571 ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจไทยกลับมาโตเต็มศักยภาพ ดร.เอกนิติ ย้ำว่า แผนดังกล่าวมาจาก แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework : MTFF) ฉบับใหม่ สำหรับปีงบประมาณ 2570-2573 ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ไปเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ดร.เอกนิติ ระบุว่า แผนการคลังระยะปานกลาง มีเป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับเพิ่มความมั่นคงให้กับฐานะการคลัง ซึ่งมีทั้งการขึ้นภาษีและลดภาษี โดยปัจจุบัน กำลังอยู่ระหว่างศึกษาแผนลดหย่อนภาษีให้มนุษย์เงินเดือนและผู้มีรายได้ระดับล่างให้มากขึ้น ควบคู่กับการปรับลดค่าลดหย่อนผู้มีรายได้สูง

 

ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ ระบุด้วยว่า แผนการคลังระยะปานกลาง ตั้งใจทำให้ฐานะการคลังไทยมั่นคง และไม่อยากให้จับเป็นประเด็นการเมือง เพราะในการสร้างฐานะการคลังที่มั่นคง ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแผนที่ชัดเจน

 

“ถ้าเราไม่สามารถทำให้ฐานะการคลังเรามั่นคง ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมสำหรับ Building For The Future ประเทศไทยอาจยิ่งแย่กว่านี้” ดร.เอกนิติกล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising