ดร.เอกนิติ รองนายกฯ รมว.คลัง ย้ำหารือสหรัฐฯ แค่กรอบการเจรจา เล็งต่อรองเว้นภาษีเพิ่มใน Appendix มองการเจรจาเป็นบวก เตรียมหารือภาคเอกชนเพิ่มเติม โดยยึดประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
วันนี้ (29 ตุลาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะยุทธศาสตร์ในการเจรจา กล่าวว่า ขณะนี้ไทยยังหารือกับสหรัฐฯ แค่ในระดับ ‘กรอบ (Framework)’ เท่านั้น ที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน
พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ผ่านระบบออนไลน์แล้วหนึ่งครั้ง และจนถึงปัจจุบันบรรยากาศการพูดคุยค่อนข้างเป็นบวก
ดร.เอกนิติ ยังกล่าวว่า ได้ต่อรองกับ USTR ไปแล้วให้ลดอัตราภาษีลงต่ำกว่า 19% แต่ทาง USTR มองว่า ไทยมีความได้เปรียบในกลุ่มอาเซียนอยู่แล้ว เมื่อเทียบประเทศอื่น เช่น เวียดนาม ซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตรา 20% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็ถูกเรียกเก็บในอัตราที่ไม่ได้ต่ำกว่าไทย
อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้เปิดโอกาสให้ไทยเสนอขอลดหย่อนหรือเว้นภาษีบางรายการได้ ภายใต้ Executive Order ของประธานาธิบดีสหรัฐ และเอกสารแนบท้าย (Appendix) ที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารในการพิจารณาเป็นกรณี
สำหรับรายการสินค้าที่จะเสนอขอลดหย่อนไว้ใน Appendix ซึ่งจะเป็นสินค้ารายการใดบ้าง ดร.เอกนิติ กล่าวว่า จำเป็นต้องหารือร่วมกับภาคเอกชน และกระทรวงพาณิชย์ โดยยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง
มองเปิดตลาดไม่น่ากังวล
ส่วนสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาด (Market Access) ให้กับสหรัฐฯ ดร.เอกนิติมองว่า ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าไรนัก เนื่องจาก สินค้าหลายรายการยังไม่ได้มีในไทย เช่น รถยนต์พวงมาลัยซ้าย ตลอดจนสินค้าส่วนใหญ่ เป็นรายการที่ไทยเปิดตลาดไว้แล้วผ่าน FTA ต่างๆ เช่น ไวน์
ขณะที่สินค้ารายการอื่นๆ ซึ่งไทยมีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าอยู่แล้ว เช่น อาหารเลี้ยงสัตว์ อย่างข้าวโพด และถั่วเหลือง ดร.เอกนิติ กล่าวว่า การลดเพดานภาษีก็จะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์มากขึ้น
เมื่อถูกถามว่าจะมีการคุยกับ USTR อีกครั้งเมื่อไร เอกนิติกล่าวว่า “กลับมาจากอาเซียนคงจะได้คุยกัน”
พร้อมแก้ปม ‘รางวัลนำจับ’
นอกจากนี้ ดร.เอกนิติยังตอบคำถามเกี่ยวกับ ข้อตกลงที่ยกเลิกระบบ ‘รางวัลนำจับ’ ทางศุลกากรให้กับสหรัฐฯ โดยระบุว่า “ได้รับการเรียกร้องจากบรรดาสมาคมภาคเอกชนเช่นกัน แต่สหรัฐฯ มองว่าเป็นอุปสรรคทางการค้า” ดร.เอกนิติกล่าว
ดังนั้น เพื่อรับมือกับปัญหานี้ กระทรวงการคลังอาจต้องพิจารณาหาวิธีเพิ่มแรงจูงใจต่อการป้องกันสินค้าผิดกฎหมายด้วยมิติอื่นๆ แทนรางวัลนำจับ เพื่อยกระดับมาตรฐานความโปร่งใส


