‘เอกนิติ’ รมว.คลัง เตรียมนำทีมเจรจาภาษี Reciprocal กับสหรัฐฯ รอบใหม่ หวังขอเว้นภาษี Reciprocal ให้กับสินค้าบางรายการเพิ่มเติม
วันนี้ (15 ตุลาคม) เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจา โดยระบุว่า ขณะนี้การเจรจาอยู่ในขั้นตอนเตรียมรายละเอียดทางเทคนิค และได้มีการหารือเบื้องต้นร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนแล้ว ภายใต้กรอบภาษี 19% ที่รัฐบาลชุดก่อนได้มีการเจรจาไว้ก่อนหน้านี้
โดยแนวทางในการเจรจา แบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
- การขอดึงสินค้าบางรายการออกจากบัญชีภาษี 19% มาเป็นรายการสินค้าภายใต้เอกสารแนบท้าย Annex III เพื่อลดภาระภาษี
- การเจรจาเรื่องสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content)
- การพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีดังกล่าว
ทั้งนี้ สหรัฐฯ เคยประกาศเอกสารแนบท้าย Annex III ภายใต้คำสั่งฝ่ายบริหารเลขที่ 14346 เมื่อวันที่ 5 กันยายน ซึ่งเป็นบัญชีรายการสินค้าที่อาจได้รับการยกเว้นมาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ภายใต้เงื่อนไขของการจัดทำข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนกับสหรัฐฯ
โดยกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าไทยอาจได้รับการยกเว้นภาษีกับสินค้าบางรายการ ไปบรรจุไว้ในเอกสารแนบท้าย Annex III ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความพึงพอใจของสหรัฐฯต่อผลการเจรจา
นอกจากนี้ เอกนิติเตรียมที่จะหารือร่วมกับ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อทบทวนกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับปี 2569 ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจากกรอบเดิมที่ 1-3% หรือไม่
หลังจากที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ อดีตผู้ว่าฯ ธปท.คนที่ 24 ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง รมว.คลัง โดยชี้แจงว่า การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา และ 12 เดือนข้างหน้า ต่ำกว่ากรอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน
สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบัน เอกนิติกล่าวว่า แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) อยู่ในภาวะติดลบ แต่เป็นผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงและราคาอาหารสดชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยด้านราคา จึงถือเป็นผลดีต่อประชาชนที่ยังสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ไม่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่หักราคาพลังงานและอาหารสดออก พบว่าเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นบวก