โจทย์ใหญ่ พิสูจน์ฝีมือ เอกนิติ รมว.คลัง คนใหม่ กับแผนยกเครื่อง ‘คลัง’ ใน 4 เดือน เร่งเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น ผ่านกรอบ ‘Quick Big Win’ ฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เห็นผลยาว ส่งเสริมวินัยการคลังด้วย ‘คนละครึ่ง พลัส’ จูงใจคนยื่นภาษี เล็งใช้โมเดล ‘PPP fast track’ ปลดล็อกกฎระเบียบหนุนการลงทุน ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยโดยไม่ต้องแก้กฎหมาย พร้อมระบุอีกว่าจะมีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศภายใน 4 เดือนนี้
วันนี้ (25 กันยายน) เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยกรอบการทำงานภายใต้ระยะเวลา 4 เดือน โดยย้ำว่า ‘Quick Big Win’ จะเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น และยกระดับศักยภาพในการหารายได้ของประชาชนชาวไทยในระยะยาว
พร้อมกันนี้ เอกนิติระบุด้วยว่าจะมีการยกระดับธรรมาภิบาลการคลังครั้งใหญ่ เพื่อตอบโจทย์ความเชื่อมั่น หลังสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำ ทยอยหั่นมุมมองเครดิตเรตติ้งไทยเป็น ‘เชิงลบ’ ในปีนี้
ทั้งนี้ เอกนิติกล่าวว่า สำหรับการฟื้นความเชื่อมั่นแล้ว “Action speak louder than words” ผมจะทำให้ดู เพราะการกระทำสำคัญกว่าคำพูด”
เอกนิติระบุว่า ที่ผ่านมาได้มีการหารือกับปลัดกระทรวงการคลัง และทีมงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่รู้และเข้าใจกลไกการคลังเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม เอกนิติระบุว่า การพูดคุยดังกล่าว เป็นเพียงการหารือในฐานะเพื่อนเท่านั้น เนื่องจากยังไม่สามารถสั่งการได้ในฐานะรัฐมนตรีคลัง เพราะยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องรอหลังวันที่ 1 ตุลาคมจึงจะเริ่มต้นทำงานได้อย่างเต็มตัว
ลดอันดับเครดิต คำเตือนสำคัญ
สำหรับกรณีที่ประเทศไทย ถูก ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือของไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative) เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา
โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า การคลังสาธารณะไทยมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ตลอดจนมีกันชนทางการคลัง (fiscal buffers) ที่ลดน้อยลง จากระดับหนี้สาธารณะรวมของรัฐบาลที่สูงถึง 59.4% ของ GDP ในเดือนสิงหาคม 2568
ด้านเอกนิติ เผยว่า ได้ตระหนักถึงความสำคัญของคำเตือนดังกล่าวเป็นอย่างดี และยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมือง ที่ฟิทช์ เรทติ้งส์กังวลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่แก้ไขได้ยาก
อย่างไรก็ตาม เอกนิติระบุว่า การปรับปรุงวินัยทางการคลัง รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการจัดเก็บรายได้ภาครัฐโดยไม่ต้องแก้ไขข้อกฎหมาย เป็นสิ่งที่คลังสามารถทำได้ และจะทำให้เห็นในระยะเวลา 4 เดือนหลังจากที่ตนได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง
ยกระดับธรรมาภิบาล ตอบโจทย์วินัยการคลัง
เอกนิติกล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ในการทำงานที่กรมจัดเก็บหลายแห่ง ซึ่งรวมถึง กรมธนารักษ์ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จึงมั่นใจว่าตนพอทราบวิธีเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ของภาครัฐ
ซึ่งเอกนิติชี้ว่า นโยบายใดก็ตามที่สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย เช่น การปฏิรูปรายได้ จะถูกนำมาใช้เพิ่มรายรับภาครัฐในระยะ 4 เดือนนี้อย่างแน่นอน
ส่วนนโยบายที่ยังต้องรอเวลา เอกนิติระบุว่า จะถูกรวบรวมไว้เป็นแผนปฏิรูปการคลัง ใน “แผนการคลังระยะปานกลาง” (Medium-Term Fiscal Framework) ซึ่งจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ เอกนิติ ย้ำว่า เป้าหมายลดการขาดดุลการคลังให้ไม่เกิน 3% ยังคงเป็นเป้าหมายในระยะยาว ซึ่งจะมีการบรรจุลงในแผนการคลังระยะปานกลางเช่นกัน
นอกจากนี้ เอกนิติระบุว่ายังมีอีกมาตรการสำคัญ ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาความเชื่อมั่นของสถาบันจัดอันดับเครดิต โดยจะยกระดับธรรมาภิบาลการคลัง ผ่านการจัดทำ Cost-Benefit Analysis กับทุกนโยบาย
สุดท้ายนี้ เมื่ออยู่ในช่วงของการรักษาการณ์ เอกนิติย้ำว่า จะยังคงทำงานกับปลัดกระทรวงการคลัง รวมถึงอธิบดีกรมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนธรรมาภิบาลการ ยกระดับความโปร่งใส และวินัยการคลังต่อไป
“เราพยายามเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ภาครัฐ และจะรักษาวินัยการคลังด้วย จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้ใช้งบประมาณปี 69 เพิ่มขึ้นเลย เรายังคงใช้งบเดิม แต่จะใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตรงเป้ามากขึ้น” เอกนิติกล่าว
คนละครึ่งพลัส จูงใจคนเข้าระบบ
สำหรับกรอบ ‘Quick Big Win’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ เอกนิติอธิบายว่า นโยบายเศรษฐกิจที่จะตามมาต่อจากนี้ จะมีลักษณะของการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เห็นผลในระยะยาว ซึ่งเอกนิติย้ำว่า จะมีนโยบายลักษณะนี้ตามมาให้เห็นอีกมาก
โดยตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนที่สุดในตอนนี้ คือ โครงการคนละครึ่ง ซึ่งถูกพัฒนาเป็น ‘คนละครึ่ง พลัส’ ซึ่งมีการคำนึงถึงวินัยการคลังมากขึ้น ผ่านการมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ยื่นภาษี เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้คนเข้าระบบภาษีเพิ่มขึ้นในระยะยาว
ยกระดับศักยภาพร้านค้าไทย
นอกจากมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว เอกนิติกล่าวว่า ‘คนละครึ่ง พลัส’ ยังออกแบบมาเพื่อจะยกระดับศักยภาพในการกระจายรายได้ของพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยอีกด้วย
โดยเอกนิติกล่าวว่า จะเพิ่มการ Upskill & Reskill ให้บรรดาร้านค้าได้เปิดหน้าร้านในระบบอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) รวมถึงยกระดับทักษะทางบัญชี โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ร้านค้าสามารถจัดทำบัญชีได้ง่ายขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น เอกนิติยังเผยอีกด้วยว่า จะทำการหารือกับสถาบันการเงิน โดยนำบัญชีร้านค้าไปเชื่อมต่อกับระบบการเงินอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้บัญชีหน้าร้าน บริหารจัดการง่ายขึ้น และธนาคารยินดีปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เมื่อข้อมูลในระบบชัดเจน
ปลดล็อกกติกา เร่งการลงทุน
ไม่เพียงเท่านั้น เอกนิติยังระบุว่า ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI อีกด้วย ซึ่งพบว่า การลงทุนหลายรายการติดขัดอยู่ที่ขั้นตอนการขออนุมัติเป็นจำนวนมาก เช่น การขออนุมัติน้ำ ไฟ และพลังงานของภาคธุรกิจ
ดังนั้น เอกนิติ จึงตั้งใจนำโมเดล ‘PPP fast track’ มาปรับใช้ เพื่อปลดล็อกกติกา คลายกฎระเบียบต่างๆ ให้การลงทุนเกิดขึ้นจริง
นอกจากนี้ เอกนิติยังระบุว่า หากมีการปลดล็อกโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด ก็จะสามารถเพิ่มจำนวนการลงทุนได้เช่นกัน เนื่องจากมีความต้องการลงทุนด้านพลังงานสะอาดจากบริษัทต่างชาติเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญกว่านั้น คือ เอกนิติชี้ว่า จะมีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ให้เกิดขึ้นจริงภายใน 4 เดือนนี้อีกด้วย เพื่อกำหนดแนวทางของอุตสาหกรรมในอนาคต
ปลัดคลังชี้ คนละครึ่ง เร็วสุดปลายตุลา
สำหรับโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเอกนิติระบุว่าจะมีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคมนั้น
ด้าน ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากที่ประชุม ครม. เห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัสทันที คาดว่าจะเริ่มใช้เงินได้เร็วสุดปลายตุลา หรืออย่างช้าสุดเต็มที่ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม
ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ลวรณกล่าวว่า จำเป็นต้องรอการแถลงอย่างเป็นทางการในภายหลัง