นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหาร กสศ. ได้มีการประชุมพิจารณามาตรการพิเศษเพื่อช่วยลดผลกระทบให้แก่นักเรียนทุนเสมอภาคกลุ่มช่วงชั้นรอยต่อ ได้แก่ อนุบาล 3, ป.6, ม.3 และ ม.6 เฉพาะสังกัด บก.ตชด. ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องเปลี่ยนสถานศึกษา และมีความเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษามากกว่าช่วงชั้นอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญทุกปี
คณะกรรมการบริหาร กสศ. จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนทุนเสมอภาคเพิ่มเติมให้แก่นักเรียนทุนเสมอภาคครอบคลุม 3 สังกัด สพฐ., อปท., บก.ตชด. ประกอบด้วยระดับชั้นอนุบาล 3, ป.6, ม.3 และ ม.6 เฉพาะสังกัด บก.ตชด. จำนวน 294,928 คน ในอัตราคนละ 800 บาท รวมงบประมาณราว 235,942,400 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา เช่น ค่าธรรมเนียมการสมัครเรียน ค่าเดินทางมาสมัครเรียน หรือการเตรียมความพร้อมในการเรียนต่อ โดยมีเงื่อนไขให้นักเรียนและผู้ปกครองแสดงหลักฐานการสมัครเรียนต่อในปีการศึกษา 2564
นพ.สุภกร กล่าวว่า เงินอุดหนุนเพิ่มเติมนี้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการเดียวที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่กลุ่มเป้าหมายในสถานการณ์โควิด-19 ได้ กสศ., สพฐ., อปท. และ บช.ตชด. ร่วมกันพัฒนาระบบติดตามกลุ่มเป้าหมายนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระดับอนุบาลจนสำเร็จการศึกษาภาคบังคับ เพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา
นอกจากนี้ในปีการศึกษา 2564 กสศ. มีแผนจะจัดเงินอุดหนุนสำหรับนักเรียนทุนเสมอภาคในทุกสังกัดจำนวนรวม 1.17 ล้านคน เป้าหมายเพื่อป้องกันมิให้ครอบครัวของนักเรียนกลุ่มที่ยากจนที่สุดต้องเผชิญกับสภาวะ ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ทางเศรษฐกิจ จนต้องนำบุตรหลานออกจากการศึกษากลางคัน โดย กสศ. ประมาณการว่าภาวะวิกฤตโควิด-19 จะส่งผลให้ครอบครัวยากจน และทำให้จำนวนนักเรียนยากจนพิเศษมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีการศึกษา 2563
อีกมาตรการคือการส่งต่อนักเรียนที่มีศักยภาพให้ได้ศึกษาต่อในระดับสูงต่อไปด้วยทุนการศึกษาจากแหล่งทุนต่างๆ เช่น ความร่วมมือระหว่าง กสศ. และ กยศ. ในการส่งข้อมูลนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่กำลังจบ ม.3 เพื่อให้ได้ทุน กยศ. ศึกษาต่อ หรือความร่วมมือกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยในอนาคต เพื่อส่งต่อข้อมูลให้มหาวิทยาลัยจัดหาทุนการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้
“จากข้อมูลการติดตามกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง 3 ปี ชี้ว่า มีนักเรียนยากจนพิเศษราว 4 ช่วงชั้นและอนุบาลที่มีความเสี่ยงสูงสุดจำนวนรวมประมาณ 400,000 คน แต่เนื่องจาก กสศ. มีงบประมาณที่จำกัดเพียงพอจะช่วยเหลือได้เพียงราว 290,000 คนใน 3 ช่วงชั้นเท่านั้น อย่างไรก็ดี กสศ. จะส่งข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่วิกฤตในระดับรองลงมาอื่นๆ ให้แก่หน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานอื่นๆ ที่มีภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ช่วยเหลือด้วยงบประมาณของหน่วยงานอื่นๆ” ผู้จัดการ กสศ. กล่าว
ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า กสศ. จะพยายามอย่างถึงที่สุดในการช่วยลดผลกระทบให้แก่กลุ่มเป้าหมาย แต่ยอมรับว่า กสศ. จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงเปิดเทอมปีการศึกษา 2564 เนื่องด้วยปัจจุบัน กสศ. ได้รับการจัดสรรงบประมาณคิดเป็นร้อยละ 1 ของงบประมาณด้านการศึกษาของประเทศ ซึ่งค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับขนาดของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และจำนวนกลุ่มเป้าหมายนักเรียนยากจนพิเศษทุกระดับชั้นและสังกัด ซึ่งมีจำนวนรวมราว 1 ล้านคน ประกอบกับความไม่แน่นอนของงบประมาณที่ กสศ. จะได้รับจัดสรรในแต่ละปี เช่น ล่าสุดในปีงบประมาณ 2565 คณะกรรมการบริหาร กสศ. ได้เสนอของบประมาณจากคณะรัฐมนตรีไปที่ 7,635.67 ล้านบาท แต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณที่ 5,652.29 โดยปรับลดลง 2 ครั้ง ราว 2,000 ล้านบาท
“อย่างไรก็ดี ในชั้นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2565 ของสภาผู้แทนราษฎร กสศ. จะเตรียมจัดทำคำขอแปรญัตติงบประมาณในส่วนที่สามารถขอแปรคืนกลับมาได้ไม่เกิน 900 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนมาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่มีความแน่นอนในระหว่างปีการศึกษา 2564-2565 ต่อไป” ผู้จัดการ กสศ. กล่าว
ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า การป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ขณะนี้
“ภาวะวิกฤตปัจจุบัน ผมขอขอบคุณเขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน คณะครู ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมและการศึกษา ซึ่งทาง สพฐ. และ กสศ. ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เราต้องช่วยเหลือ ป้องกันไม่ให้หลุดออกนอกระบบการศึกษา” รองเลขาฯ สพฐ. กล่าว