×

Ed Sheeran กับคอนเสิร์ตครั้งที่ 2 ในไทย ที่ยังอบอวลไปด้วยความสุขและพลังงานล้นเหลือ

29.04.2019
  • LOADING...

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา สำหรับ Ed Sheeran Divide World Tour 2019 ที่กรุงเทพมหานคร คอนเสิร์ตของสุดยอดศิลปินหนุ่มผมแดงตาสวยชาวอังกฤษ เอ็ด ชีแรน เจ้าของเพลงฮิตมากมาย ซึ่งหลายเพลงได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิตของใครหลายคน ทั้งยังเป็นศิลปินเจ้าของ 4 รางวัล Grammys, 3 รางวัล Brit Awards พร้อมด้วยรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

               

                            

 

นับเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่หนุ่มเอ็ดมีโอกาสมาเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเรา เพื่อมอบความสุขให้กับเหล่าแฟนเพลงชาวไทยจากหลายบทเพลงฮิตสุดไพเราะของเขา ซึ่งก่อนหน้าที่จะถึงคิวของประเทศไทย เอ็ดได้เดินสายทัวร์เอเชียมาแล้วหลายประเทศ อาทิ มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งหลังจากนี้เขาก็มีโปรแกรมทัวร์ที่จะเดินทางไปเล่นในอีกหลายประเทศทั่วโลก ส่วนคอนเสิร์ตครั้งนี้กลับมาพร้อมกับสเกลที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยเป็นการจัดแบบ Out Door ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน สนามกีฬาแห่งชาติที่มีความจุมากกว่า 50,000 ที่นั่ง นับเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่สุดในประเทศไทย!

 

                              

บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นของเหล่าแฟนคลับทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ที่ตั้งใจเดินทางฝ่าการจราจรอันบ้าคลั่งของกรุงเทพมหานครมาเพื่อรอดูโชว์ของศิลปินหนุ่มจากเมืองซัฟโฟล์กผู้นี้

 

หลังจากเปิดโชว์ด้วย ONE OK ROCK วงร็อกขวัญใจวัยรุ่นจากแดนปลาดิบ เวลา 20.30 น. ท่ามกลางอากาศที่กำลังร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ เอ็ด ชีแรน ก้าวขึ้นมาบนเวทีอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมกับกีตาร์คู่ใจ ก่อนที่จะเริ่มเล่นเพลงแรก Castle On The Hill เพลงจังหวะสนุกสนานจากอัลบั้มชุดล่าสุด ÷ (Divide) เรียกเสียงกรี๊ดจากคนดูได้ทันที พอจบเพลง เอ็ดก็ได้กล่าวทักทายแฟนเพลง พร้อมบอกว่า นี่คือคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเล่นในประเทศไทย และต่อด้วยการโชว์สกิลร้องบวกแรปในเพลง Eraser อีกหนึ่งเพลงที่ชวนให้แฟนๆ ขยับไม้ขยับมือ โยกหัวโยกตัว กันอย่างเพลิดเพลิน

 

 

The A Team เพลงแรกในชีวิตของ เอ็ด ชีแรน ที่เขาเขียนขึ้นมาเมื่ออายุ 18 ในปี 2009 ถูกบรรเลงขึ้นมาเป็นลำดับที่ 3 ซึ่งในคอนเสิร์ต เขาได้ขอให้แฟนเพลงนับหมื่นพร้อมใจกันเปิดแฟลชจากโทรศัพท์มือถือ แล้วชูมือขึ้นไปบนฟ้าในระหว่างที่เขากำลังเล่นเพลงฮิตจากอัลบั้มแรก ถือเป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่สวยงามและน่าจดจำของคอนเสิร์ตครั้งนี้

 

ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของโชว์ เอ็ดได้ขนเพลงฮิตมากมายจากทั้ง 3 อัลบั้มของเขาอย่าง + (2011), x (2014) และ ÷ (2017) มาเล่นแบบจุใจ โดยนอกจาก 3 เพลงเปิดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็ยังมีเพลง Don’t, New Man, Dive, Bloodstream, Tenerife Sea, Galway Girl, Nancy Mulligan, Sing รวมไปถึงเพลงอย่าง I See Fire เพลงโฟล์กจังหวะช้าสุดไพเราะที่ใช้ประกอบภาพยนตร์แฟนตาซี The Hobbit: The Desolation of Smaug และ Love Yourself ที่เอ็ดเล่นคัฟเวอร์ จัสติน บีเบอร์ ซึ่งจริงๆ แล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่เขาแต่งให้จัสตินเอาไปร้องจนโด่งดังทั่วโลก เป็นเพลงที่เพราะมากๆ เมื่อเอ็ดหยิบมาเล่นสด มันเพราะจนเราสงสัยว่า เพลงดีขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่เก็บไว้ร้องและเล่นเอง

 

 

ไฮไลต์สำคัญของคอนเสิร์ตครั้งนี้ขอยกให้เป็นช่วงเซตเพลงรักโรแมนติกที่ประกอบไปด้วยเมดเลย์ของเพลง Lego House, Kiss Me และ Give Me Love ที่ดูน่าจะถูกใจแฟนเพลงยุคแรกเริ่มของเอ็ดเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเล่นเพลงฮิตจากอัลบั้มเดบิวต์ติดกันแบบไม่พัก และในช่วงเกือบท้ายๆ ของโชว์ บรรยากาศความโรแมนติกก็มาถึงขีดสุดเมื่อ เอ็ด ชีแรน เล่นเพลง Thinking Out Loud อีกหนึ่งเพลงดัง และเป็นเพลงที่ใครหลายคนนิยมใช้ในวันแต่งงานของตัวเอง ซึ่งก่อนเล่น เอ็ดแซวคนดูว่า หากใครร้องเพลงนี้ไม่ได้ ก็แสดงว่ามาผิดคอนเสิร์ตแล้ว ก่อนจะต่อด้วย Photograph และ Perfect ที่ทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้กลายเป็นค่ำคืนอันหวานฉ่ำของเหล่าคู่รักที่จูงมือกันมา

 

สำหรับจุดเด่นและความประทับใจที่ได้จากคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็คือ การได้เห็น เอ็ด ชีแรน ปลดปล่อยความสามารถและพลังความเป็นศิลปินในตัวเขาออกมา ไม่มีใครกังขาในฝีมือการเล่นดนตรีของเขา ทุกคนย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่า เอ็ดเก่งแค่ไหน เขาใช้เพียงแค่กีตาร์และอุปกรณ์เอฟเฟกต์ Loop Pedal สองสามอย่าง ก็สามารถสร้างสรรค์ดนตรีและจังหวะสนุกๆ ขึ้นมาได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาวงดนตรีแบ็กอัพเลย แค่เขาคนเดียวก็สะกดเหล่าคนดูนับหมื่นให้จดจ่ออยู่กับโชว์ได้อย่างไม่แข็งขืน เรียกได้ว่า ชงเองกินเอง เป็นศิลปิน One Man Show ที่สมบูรณ์แบบ

 

 

เรื่องสเตจและงานโปรดักชันก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ออกแบบมาได้สวยงาม ขนาดของเวทีไม่ใหญ่อย่างที่คิด ดูไม่เยอะและไม่น้อยจนเกินไป มีจอ LCD ขนาดใหญ่คอยฉายภาพกราฟิกลวดลายต่างๆ ให้เข้ากับเนื้อหาในแต่ละเพลง ส่วนตัวเอ็ดเองก็เรียบง่าย ใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เดินขึ้นมาบนเวทีแล้วเล่นเต็มที่

 

อีกหนึ่งโมเมนต์น่ารักๆ คือช่วง Encore 2 เพลงสุดท้ายที่เอ็ดแอบเดินเข้าไปหลังเวที ก่อนที่เขาจะกลับมาพร้อมกับเสื้อฟุตบอลทีมชาติไทยสีแดง และเริ่มบรรเลงเพลงที่ทุกคนผู้เรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคลับของ เอ็ด ชีแรน ต้องร้องได้อย่าง Shape of You เพลงที่ขึ้นแท่นขายดีที่สุดตลอดกาลของประเทศอังกฤษ ทั้งยังเป็นเพลงที่ถูกสตรีมผ่าน Spotify มากที่สุดตลอดกาล ด้วยจำนวนมากกว่า 2.1 พันล้านครั้ง ก่อนที่จะจบโชว์ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขนี้ และส่งทุกคนกลับบ้านไปนอนหลับฝันดีด้วยเพลงสุดมันส์อย่าง You Need Me, I Don’t Need You

 

 

จากเด็กที่เคยเดินร้องเพลงอยู่ริมถนนและสถานีรถไฟในลอนดอน ใช้เวลาเกือบ 10 ปี สู่การก้าวมาเป็นหนึ่งในศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคปัจจุบัน เราเชื่อเหลือเกินว่า หาก เอ็ด ชีแรน ยังคงรักษามาตรฐานการทำงานอันยอดเยี่ยม และการวางตัวเป็นศิลปินที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้แบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเสีย จะเร็วหรือช้า เขาก็จะได้ชื่อว่า เป็นศิลปินป๊อปสตาร์ระดับ ‘ตำนาน’ ของประเทศอังกฤษอย่างแน่นอน

 

                                         

Setlist

 

ภาพ: Live Nation BEC-TERO

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising