กกร.เตือน เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% โดยได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้ ‘กลุ่มเปราะบาง’ เพิ่มขึ้น เตือนการทอดเวลาแห่งความไม่แน่นอนออกไป ‘ไม่เป็นผลดี’ โดยหากยุบสภาตอนนี้ จะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน กว่าได้รัฐบาลใหม่ แต่ถ้ารออีก 4 เดือนแล้วค่อยยุบสภา ภาวะสุญญากาศทางเศรษฐกิจจะทอดยาว 9-10 เดือน
วันนี้ (3 กันยายน) ผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนกันยายน 2568 ประเมินว่า GDP ไทยปีนี้จะขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% (ไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการเดือนก่อนหน้า) พร้อมเตือนด้วยว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% จากปัจจัยกดดันต่างๆ รวมถึง ‘ความไม่แน่นอนทางการเมือง’
นอกจากนี้ ผยง ยังเตือนอีกว่า ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่การชะงักงันทางเศรษฐกิจอาจจะทำให้ ‘กลุ่มเปราะบาง’ เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบไปด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ไม่ว่าจะยุบสภา หรือการมีรัฐบาล 4 เดือนก่อนยุบสภา ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งหมด แต่ “การมีรัฐบาลแค่ 4 เดือน ไม่ใช่คำตอบทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างแท้จริงต้องมองระยะยาวกว่านี้”
เอกชน ‘ชอบ’ ความชัดเจนโดยเร็ว มองทอดเวลายุบสภา ‘ไม่เป็นผลดี’
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท) แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ในมุมของภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม อยากเห็นความชัดเจนโดยเร็วที่สุด
“ระหว่างการยุบสภาเลยแล้วเริ่มต้นใหม่เลย เทียบกับการรออีก 4 เดือนแล้วยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ การทอดเวลาแห่งความไม่แน่นอนให้ยาวเกินไป ‘อาจไม่เป็นผลดี’ เนื่องจากภาคเอกชนส่วนใหญ่ชอบความชัดเจน โดยเร็ว” เกรียงไกรกล่าว
เอกชนเตือน ‘เกมยุบสภาช้า’ เศรษฐกิจไทยจ่อสุญญากาศนาน
ดร.พจน์ และเกรียงไกร ยังกล่าวว่า หากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบสภา การเลือกตั้งจะเกิดขึ้น ภายในกรอบเวลาประมาณ 45-60 วัน โดยตามสถิติการเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่า หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ต้องใช้เวลา 3-4 เดือนกว่า จัดตั้งรัฐบาล และกระบวนการรับรองการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะแล้วเสร็จ หมายความว่า โดยระหว่างนี้เศรษฐกิจก็จะชะงักไป
“เพราะฉะนั้น หากยุบสภาตอนนี้ เราจะเสียเวลาไปประมาณ 5-6 เดือน (ครึ่งปี) แต่ถ้ากรณี บวกไปอีก 4 เดือนแล้วค่อยยุบสภา จะเสียเวลาไปอย่างน้อย 9-10 เดือน” เกรียงไกรกล่าว
ดังนั้น ไม่ว่าจะ 5-6 เดือน หรือ 9-10 เดือน นักลงทุนก็ยังคงอยู่ในภาวะ Wait and See ขณะที่การขับเคลื่อนนโยบายในภาคราชการก็ชะลอไป ไม่ถึงกับเกียร์ว่าง แต่ไม่ได้อยู่ในอัตราเร่ง
ภาคเอกชน ‘เปิดสเปก’ นายกรัฐมนตรีคนต่อไป
ดร.พจน์ กล่าวว่า ในฐานะภาคเอกชน โดยเฉพาะหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต้องการรัฐบาลที่มีความชอบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เป็นที่ยอมรับจากไทยและนานาชาติ มีความสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาได้ และเป็นรัฐบาลที่มีฝีมือช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้
เนื่องจากปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอุปสรรคมากมาย ทั้งภายนอกและภายใน ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งชายแดน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ขณะที่เกรียงไกร กล่าวถึงว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปว่า อยากได้คนที่มีความรู้ คนเก่ง คนดี และคนกล้าตัดสินใจ โดยสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง