นักเศรษฐศาสตร์เชื่อจีนจะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่ม เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจหลังเห็นสัญญาณการเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว
นักลงทุนจีนมีการเก็งกำไรกันเพิ่มขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าจีนจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินอีกรอบ หลังจากตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจสะท้อนภาพชัดเจนว่าเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัวลงในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้ ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยกดดันเพิ่มขึ้นจากการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาที่กลับมาอีกครั้ง
Bloomberg รายงานว่า การประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าจีนจะยังคงรักษาสภาพคล่องจำนวนมากไว้ในระบบอยู่เช่นเดิม โดยผลการประชุมดังกล่าวส่งผลให้บอนด์ยีลด์และตัวชี้วัดต่างๆ ของบอนด์ยีลด์ในอนาคตยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นเดิม
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลที่ออกมา พบข้อบ่งชี้ 4 ข้อ ที่สะท้อนถึงเเนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินที่มากขึ้น ประกอบด้วย
- อัตราผลตอบเเทนจากพันธบัตรหรือบอนด์ยีลด์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการปรับตัวลงมาถึง 0.5% จากจุดสูงสุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สาเหตุหลักมาจากเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตร ซึ่งเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นจีนในช่วงเดือนที่ผ่านมามีการปรับฐานด้วยเช่นกัน
- การลดลงอย่างต่อเนื่องของ Swap Rate (การทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยระหวางคู่สัญญาสองฝ่ายที่มีมุมมองในเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน) เนื่องจากแนวโน้มของสภาพคล่องที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
แลร์รี หู หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ Greater China ที่ Macquarie Group ในฮ่องกง กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า มีแนวโน้มว่าจะมีการปรับลด RRR อีก 1 หรือ 2 ครั้งในปีนี้ และไม่คิดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยใดๆ โดยการปรับลด RRR จะเป็นเครื่องมือในการเติมเต็มสภาพคล่องเนื่องจากเงินกู้ตามนโยบายในวงเงินกู้ระยะกลางจะครบกำหนดในครึ่งปีหลัง
- ภาระทางการเงินจากการกู้ยืมของสถาบันการเงินที่ลดลง โดยการกู้ยืมของสถาบันการเงินจากตลาดการเงินจะมีภาระทางการเงินที่ต่ำกว่าการกู้ยืมจากธนาคารกลาง
- Interbank Rate ลดลง เนื่องจากธนาคารกลางของจีน (PBOC) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบธนาคารมากขึ้น ทำให้ภาระทางการเงินระยะสั้นระหว่างธนาคาร (Interbank Rate) ลดลง
อ้างอิง:
