×

เศรษฐกิจไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ‘อินโนเวสท์ เอกซ์’ คาด GDP ปีหน้าโต 4.1% ลุ้นหุ้นไทยปีหน้าแตะ 1,750 จุด

26.09.2023
  • LOADING...
เศรษฐกิจไทย

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและกลยุทธ์การลงทุนไตรมาสสุดท้ายปี 2566 ชี้ไทยฟ้าเปิด เศรษฐกิจเติบโตดีสวนเศรษฐกิจโลก คาดเป้าหมาย SET Index 2566 อยู่ที่ 1,650 จุด พร้อมแนะโอกาสลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เวียดนาม-อินโดนีเซีย ส่วนปีหน้าคาด GDP ไทยโต 4.1% และประเมินเป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุด

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2566 คาดชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเผชิญ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized Slowdown) 2. ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น (Higher for Longer) โดยคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ระดับปัจจุบันที่ 5.4% จนถึงสิ้นปี และ 3. ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ 

 

ขณะที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1% จากประมาณการเดิม ทำให้คาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้ง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2566 ไว้ที่ 1650 จุด 

 

ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ชี้เป้าหุ้นเด่นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ได้แก่ AOT, BCH, CRC, KCE และ KTB พร้อมทั้งกระจายการลงทุนไปยังประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่จะได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อีกทั้งยังมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเติบโตได้มาก เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย

 

สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2566 คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเผชิญ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. เศรษฐกิจที่จะชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized Slowdown) โดยที่ผ่านมาภาคการผลิตทั่วโลก (โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว) ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Manufacturing PMI) หดตัวมาโดยตลอด เป็นผลจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ประกอบกับความต้องการสินค้าต่างๆ เริ่มหมดลง ทำให้ภาคการผลิตมีปัญหา และในปัจจุบันภาคบริการเริ่มมีปัญหาแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากดอกเบี้ยสูง         

 

  1. ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น (Higher for Longer) ในช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วลดลงมาพอสมควรจากเงินเฟ้อภาคการผลิตเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปเงินเฟ้อจะลดลงยากมากขึ้นเนื่องจากเป็นเงินเฟ้อในส่วนภาคบริการ นอกจากนั้นราคาน้ำมันที่เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ก็มีส่วนทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปกดลงได้ยากเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ธนาคารกลางต่างๆ ก็จำเป็นต้องคงดอกเบี้ยยาวนานขึ้น ซึ่งจะยิ่งกดดันเศรษฐกิจ 

 

  1. ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นโดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ (US and the Rest) โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตค่อนข้างแข็งแกร่งจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ทำให้การจับจ่ายยังเติบโตดี แต่ในระยะต่อไปการเงินที่มีปัญหามากขึ้นจะกระทบต่อการใช้จ่ายของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ ด้านเศรษฐกิจของยุโรปจะยิ่งเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนก็มีความเสี่ยงจะซึมยาวและเข้าสู่ ‘ทศวรรษที่หายไป’ เช่นเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อช่วงทศวรรษ 1990

 

ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมาก แต่อนาคตมีความหวังจากความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐ โดยเราประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ดีกว่าปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลเพื่อไทยจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้อีก 1% โดยเราคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 4.1% (เทียบกับประมาณการเดิมที่ 3%) จากปี 2566 ที่ขยายตัว 2.7% 

 

พร้อมกันนี้ยังคาดว่า กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้งเมื่อพิจารณาจาก 1. แนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน, 2. การเสร็จสิ้นการปรับลดอันดับเครดิต ผลประกอบการ และ GDP, 3. นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับความตึงตัวของ Fed และ 4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว โดยความเสี่ยงสำคัญ 2 ประการที่ยากจะมองข้าม ได้แก่ ประการแรก ด้วยระดับน้ำที่ต่ำและฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลสำคัญ การเกิดเอลนีโญระดับรุนแรงจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของเกษตรกร แต่จะถูกผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยในไตรมาสที่ 1 และประการที่สอง ในกรณีที่รัฐบาลเลือกที่จะกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจส่งผลต่อความเข้มแข็งทางการคลัง  

 

ทั้งนี้ อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด เป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุด ขณะที่ในไตรมาส 4 จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,550 จุด โดยผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 5-7%

 

“กลยุทธ์การลงทุนแนะนำโฟกัสไปที่หุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือทำจุดต่ำสุดแล้ว และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นหุ้นวัฏจักรที่มีความสัมพันธ์กับการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูง ซึ่งจะได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของกำไร โดยหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ได้แก่ AOT, BCH, CRC, KCE และ KTB” สุกิจกล่าวเสริม

 

รายละเอียดหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ปี 2566

  • AOT: Traffic เติบโตแข็งแกร่ง กำไรเติบโตแข็งแกร่ง
  • BCH: กำไรฟื้นตัว การปรับเพิ่มอัตราการเหมาจ่ายของประกันสังคม Valuation สมเหตุสมผล
  • CRC: กำไรฟื้นตัว ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • KCE: แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง อุปสงค์ฟื้นตัว การเติมสินค้าคงคลังของจีน กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
  • KTB: กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

 

ด้าน พสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกองทุนส่วนบุคคล บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีน เงินเฟ้อระลอกใหม่ รวมถึงดอกเบี้ยโดยรวมของโลกยังอยู่ในระดับสูง การลงทุนจึงยังเป็นลักษณะการลงทุนแบบระมัดระวัง มุ่งเน้นคัดเลือกหุ้นของกิจการที่ดีเป็นรายตัว โดยมีประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วกว่าประเทศไทย เช่น ประเทศเวียดนาม ที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าประเทศไทยค่อนข้างมาก ส่งผลให้อัตราการเติบโตของ GDP ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงถึง 6-7% ต่อปี สูงกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่าตัว และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 270 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ และถึงแม้จะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังคงเติบโตด้วยอัตรา 5% ต่อปี 

 

ซึ่งทั้งสองประเทศได้รับเม็ดเงินจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเม็ดเงินจากการลงทุนทางตรงในปีที่แล้วของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียนั้นสูงคิดเป็น 2 และ 4 เท่าเมื่อเทียบกับของประเทศไทยตามลำดับ อีกทั้งประชากรของทั้งสองประเทศยังเป็นวัยทำงานมากถึง 50-60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และกลุ่มคนวัยดังกล่าวกำลังย้ายจากภาคการเกษตรเข้ามาในภาคอุตสาหกรรม และอยู่อาศัยในตัวเมืองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รายได้ต่อหัวปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า 

 

โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของประชากรคนชั้นกลาง ได้แก่ กลุ่มสิ่งของอุปโภคและบริโภคต่างๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม, เครื่องใช้ไฟฟ้า, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องประดับ, การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าจากร้านค้าทั่วไป (Traditional Trade) เป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยของประชาชนทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำและสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต 

 

“การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่กลัวเกี่ยวกับข่าวสารต่างๆ ในระดับมหภาคที่เป็นแง่ลบ จนเกิดการขายหุ้นออกมาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในระยะยาว เช่น ความกลัวโรคระบาดโควิดในปี 2020 ความกลัวอัตราเงินเฟ้อที่สูงและการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2021-2022 และความกลัวภาพเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 ซึ่งส่วนตัวกลับมองว่าเป็นโอกาสลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวมากกว่า หากเราสามารถเลือกลงทุนในหุ้นของกิจการได้ถูกตัว และเข้าซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังกลัวตลาดหุ้น” พสุวุฒิกล่าวเสริม

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising