Q: ดูข่าวแล้วเครียดมากเลยค่ะ เศรษฐกิจปีนี้น่าจะแย่มาก พายุลูกใหญ่กำลังจะมา มนุษย์ออฟฟิศอย่างเราทำอะไรได้บ้างคะนอกจากทำใจ
A: เวลามีคนส่งปัญหาดราม่าในที่ทำงานมาให้ ผมมักจะบอกเสมอว่า “You are not alone” คุณไม่ได้เผชิญปัญหานี้โดยลำพัง สำหรับปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่ยกมาถามนี้ ผมยิ่งต้องบอกว่า You are not alone เหมือนกัน เพราะเจอกันทั้งโลก ไม่เหงาแน่ ฮ่าๆ (หัวเราะแบบแห้งๆ)
ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้คำว่าพายุกำลังมาดีหรือว่าตอนนี้ก็อยู่ในพายุแล้ว ซึ่งผมคิดว่าเอาจริงๆ มันถูกทั้งคู่ เพราะเรากำลังอยู่ในพายุ ซึ่งเดี๋ยวคงมีตามมาอีกหลายลูกอยู่ เราหลอกตัวเองหรือให้คนอื่นมาหลอกว่าเราไม่เจอปัญหาอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะนี่คือของจริง ชีวิตจริง ตื่น!
ที่ถามผมว่า มนุษย์ออฟฟิศทำอะไรได้อีกนอกจากทำใจ ผมคงต้องตอบว่า นอกจากทำใจแล้วต้องทำหลายอย่างเลยครับ ฮ่าๆๆ
ทำใจอย่างที่บอกนี่คือ ต้องทำใจจริงๆ นะครับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มันคือความจริง ก่อนหน้านี้แม้กระทั่งตัวผมเองก็เคยได้รับข้อมูลการวิเคราะห์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจน่าจะชะลอตัว ตัวผมเองตอนที่ฟังก็ยังคิดว่า โอเค มันกำลังจะเกิดขึ้น สัญญาณมันบอกแล้ว แต่มันจะเกิดเมื่อไร เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นตรงหน้าเรา สะเทือนมาถึงชีวิตเราจริงๆ บางอย่างที่ตอนนั้นเราคิดว่าแย่ แต่ขอโทษเถอะ ตอนนี้มันแย่ยิ่งกว่าแย่อีก เอาแค่เรื่องตลาดหุ้นไทยก็ได้ครับ ตอนหลุด 1500 ผมก็คิดว่าแย่แล้ว เจอหลุด 1400 แล้วไปนู่นเลย หลุด 1300 เลยจ้า! ปัจจัยภายในและภายนอกพร้อมหมด! โมเมนต์นั้นแหละครับที่ทำให้ผมนึกถึงคำเตือนทั้งหลายที่เคยได้รับ และตื่นรู้กับความจริงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องมีสติ
พอความจริงมันเกิดตรงหน้าเรา ผมพบว่ามันเปลี่ยนวิธีคิดเราใหม่ไม่เหมือนตอนที่เรารู้อยู่ไหวๆ ว่าเดี๋ยวมันจะเกิดแต่มันยังไม่เกิด เราต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองประมาทเหมือนเดิม และเราต้องอยู่ในโหมดคิดมากขึ้นกับการใช้ชีวิต
ในแง่การทำงาน ทุกบริษัทได้รับผลกระทบกันหมด แต่ละแผนกคงโดนตัดงบกันถ้วนหน้า แต่มันมีวิธีคิดหนึ่งซึ่ง พี่โจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะ เคยบอกไว้ และผมคิดว่ามีประโยชน์มากๆ โดยเฉพาะกับสถานการณ์นี้คือ ‘กันดารคือสินทรัพย์’ ที่ผ่านมา ตอนบริษัทมีเงินเยอะๆ เราก็ชอบใช้เงินแก้ปัญหากัน มันง่ายดี แต่ตอนนี้พอเงินน้อยลง เราต้องใช้สมองมากขึ้น เราใช้วิธีการแบบเดิมๆ ที่เคยใช้ตอนที่บริษัทปลอดภัยอยู่ไม่ได้แล้ว ในแง่ดี ถ้าเราคิดได้ว่า พอเงินน้อยลงแปลว่าเราต้องหาทางแก้ปัญหาแบบใหม่ที่ใช้เงินน้อยลง มันอาจทำให้เราค้นพบวิธีการทำงานแบบใหม่ๆ ซึ่งสุดท้ายเราสามารถใช้เงินที่มีอย่างคุ้มค่า พร้อมกับพบศักยภาพของเราเองได้ครับ
ตัวอย่างที่ผมเห็นชัดเลยคือที่แผนกการตลาดของบริษัทผม เมื่อก่อนที่บริษัทใช้เอเจนซีกันเยอะ เราก็สบาย ใช้เงินให้เอเจนซีไปทำงานอย่างที่ต้องการ แต่พอตัดเรื่องเงินออก เอาละเว้ย! จะทำอย่างไรกันดี ก็ต้องใช้ Mindset แบบ ‘กันดารคือสินทรัพย์’ อย่างแท้จริง จากเคยต้องพึ่งพาคนอื่น แผนกการตลาดก็ลุยเองเลย ผลิตงานเองแบบไม่มีเอเจนซี ลองผิดลองถูกกันไป สุดท้ายทีมได้เรียนรู้ว่า ทีมก็ทำเองได้นี่หว่า ทีมก็มีความสามารถที่ซ่อนอยู่ ทีมแข็งแกร่งขึ้น นี่ไงครับกันดารคือสินทรัพย์ เราเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสได้เรียนรู้ และทำให้ตัวเราเก่งขึ้นไปด้วย
เพราะฉะนั้น ไม่มีเงินหรือเงินน้อยไม่ใช่ปัญหา มันเป็นแค่โจทย์ที่เราต้องแก้ มันคือโอกาสให้เราได้ทดลองสิ่งใหม่ และขุดเอาศักยภาพที่เรามีมาใช้ ลุย!
เรื่องต่อมาก็คือ ตอนนี้เราคิดว่าเราอยู่ในสถานะมั่นคงไม่ได้แล้วนะครับ ต่อให้เราเป็นพนักงานประจำ ซึ่งสิ้นเดือนมามีเงินเดือนมาต่อชีวิตแน่ๆ แต่เราอยู่ใน Safe Mode ต่อสถานการณ์ไม่ได้อีกแล้ว เวลานี้ถ้าบริษัทจะเลย์ออฟขึ้นมา หรือเข้าสู่การ Lean องค์กร เขาดูก่อนเลยว่าพนักงานแบบไหนที่เขาจะเก็บไว้ เขาก็ต้องเก็บพนักงานที่แน่ใจได้ว่าทำงานดี เราต้องกลับมามองก่อนเลยครับว่าเราทำงานเป็นอย่างไร เศรษฐกิจเฉื่อยแบบนี้แล้วเรายังเฉื่อยตามไปอีก บริษัทไม่รอดขึ้นมา เราก็ไม่รอดนะครับ โดนกำจัดจุดอ่อนแน่นอน
วิกฤตแบบนี้บริษัทยิ่งต้องการคนที่พร้อมเผชิญปัญหา คนที่มี Mindset ที่ดี คนที่พาบริษัทผ่านวิกฤตไปได้
แล้วในภาวะนี้จะหางานใหม่ก็อาจจะต้องคิดทบทวนดีๆ ไม่ได้บอกว่าห้ามลาออกนะครับ แต่บอกว่าต้องคิดมากขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้ทำ โดยเฉพาะตอนเศรษฐกิจชะลอแบบนี้ ที่อาจทำให้งานของคุณต้องชะลอไปด้วยก็คือ ไปเพิ่มความรู้ให้มาก ความรู้ฟรีๆ มีเยอะครับ แทนที่จะปล่อยเวลาไปเฉยๆ เราใช้ช่วงนี้ปลูกต้นไม้ไว้ให้สมองเราก่อนเลย ตอนงานยุ่งมากๆ อาจจะไม่มีเวลาเพิ่มเติมความรู้เท่าไร ตอนนี้แหละครับเป็นโอกาส
ในแง่การเงิน ผมคิดว่า เราต้องรู้สถานะการเงินของตัวเองให้มากที่สุด มีหนี้อะไรบ้าง มีรายรับ รายจ่ายเท่าไร ต้องบริหารอย่างไร นาทีนี้ต้องคิดเยอะหน่อยว่าจะใช้จ่ายกับอะไร
แม้เราจะเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ที่จริงเราไม่ควรฝากชีวิตไว้กับเงินเดือนอย่างเดียวนะครับ คนเราควรมีที่มาของรายได้มากกว่าหนึ่งทาง ลองดูว่าเราสามารถมีงานอื่นๆ เป็นงานที่สองหรือสามได้ด้วยหรือเปล่า อะไรเป็นความสามารถซึ่งเป็นต้นทุนที่มีอยู่แล้ว และนำมาต่อยอดทางธุรกิจได้ หรือสินทรัพย์อะไรที่เรามีอยู่ ทำให้เราเกิดรายได้ได้อีกมากกว่าการอยู่เฉยๆ
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าเราต้องรู้ว่าเราต้องจริงจังกับชีวิต แต่อีกมุมหนึ่ง เราต้องคอยเติมความสุขและกำลังใจให้ตัวเองและคนรอบข้างด้วย ไม่ได้แปลว่าเราต้องเครียดตลอด มันน่าเครียดก็จริงครับ (ใครไม่เครียดก็แปลกแล้ว) แต่เราต้องมีความสุขกับชีวิตด้วย มีโหมดให้ตัวเองผ่อนคลายบ้าง ให้กำลังใจตัวเองบ้าง ชมตัวเองหน่อย ยังต้องใช้พลังอีกเยอะ
ที่สำคัญ เราต้องเชื่อว่าเราจะผ่านไปได้ และต้องเชื่ออย่างหมดหัวใจด้วย ผ่านตรงนี้ไปได้เราจะแกร่งและเก่งขึ้นอีก และเราจะไม่ประมาทเหมือนเดิม
เวลาที่ดีที่สุดที่เราจะรับมือกับวิกฤต คือตอนที่มันยังไม่เกิด และเราเตรียมตัวให้พร้อม แต่เวลาที่จริงที่สุดและเราต้องโฟกัสที่สุด คือปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้นี่แหละครับ
กลับไปเรื่องเดิมครับ You are not alone และเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันครับ
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์มาที่ Facebook: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ (Facebook.com/Toffybradshawwriter)
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์