ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในตลาดพันธบัตรทั่วโลก และตลาดพันธบัตรรัฐบาลยุโรป หากธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) เลิกใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้กระแสเงินทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นไหลออกจากตลาดโลก กลับไปสู่ตลาดบ้านเกิดมากขึ้น
โดย ECB ระบุในรายงานเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งออกเพียงปีละ 2 ครั้งว่า “การเปลี่ยนจากสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นจากอัตราดอกเบี้ยติดลบ อาจเป็นการทดสอบความยืดหยุ่นของตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก เนื่องจากการปรับนโยบายการเงินของญี่ปุ่นให้กลับสู่สภาพปกติ (Normalization) อาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นกลุ่มนักลงทุนสำคัญในตลาดการเงินโลก รวมถึงตลาดตราสารหนี้ใน Euro Area ด้วย”
ในปี 2022 นักลงทุนญี่ปุ่นแห่ขายพันธบัตรรัฐบาลยุโรปเป็นมูลค่ารวม 5.4 ล้านล้านเยน (หรือราว 3.87 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุด ตามการรวบรวมข้อมูลของ Bloomberg ซึ่งย้อนหลังไปถึงปี 2005
ขณะที่กองทุนญี่ปุ่น ซึ่งยังเป็นผู้ซื้อสุทธิจนถึงปีนี้ ได้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลยุโรปไปเพียง 8.1 หมื่นล้านเยน นับเป็นจำนวนต่ำที่สุดในไตรมาสแรกในรอบ 6 ปี
ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรปสำหรับนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินเยนที่ผันผวน กำลังขาดทุนอยู่แล้ว โดยพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสอายุ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนติดลบประมาณ 0.7% สำหรับนักลงทุนที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเยน (Yen-Hedged Investor)
ด้วยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในญี่ปุ่น ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าในที่สุด BOJ จะมีทางเลือกไม่มาก โดยสุดท้ายก็จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหมือนกับธนาคารกลางอื่นๆ ซึ่งจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้กระแสเงินทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นไหลออกจากตลาดโลกไปสู่ตลาดบ้านเกิดมากขึ้น
ECB ยังเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และกล่าวว่าอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นในญี่ปุ่นอาจกระตุ้นให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ในต่างประเทศกลับประเทศ และดึงเงินออกจากพันธบัตรยุโรปอย่างกะทันหัน จนอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาพันธบัตร
Tsuyoshi Ueno นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัย NLI ในโตเกียว กล่าวว่า “การขึ้นต้นทุนการกู้ยืมของ BOJ จะเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านลบสำหรับราคาตราสารหนี้ทั่วโลก และคำเตือนของ ECB นับเป็นกรณีที่หายากมาก ที่ ECB จะแสดงความกังวลต่อการทำให้นโยบายการเงินกลับมาสู่ระดับปกติของ BOJ”
อ้างอิง: